ผู้เขียน หัวข้อ: 10 อาการเตือนโรคหัวใจ โรคหัวใจมีกี่แบบ แบบไหนควรรีบพบแพทย์?  (อ่าน 197 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 584
    • ดูรายละเอียด
10 อาการเตือนโรคหัวใจ โรคหัวใจมีกี่แบบ แบบไหนควรรีบพบแพทย์?

โรคหัวใจเป็นโรคที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจผิดปกติไป ซึ่งโรคหัวใจสามารถแบ่งย่อยออกเป็นหลายแบบด้วยกัน เช่น โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นต้น โดยโรคหัวใจนี้ถือเป็นโรคที่คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด ในอดีตพบว่าโรคหัวใจมักเกิดในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุบันพบว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน ในบทความนี้จะมาทำความรู้จักกับโรคหัวใจแบบละเอียด และ 10 อาการโรคหัวใจ เพื่อเสริมเป็นความรู้ และให้ข้อมูลในการตัดสินใจเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจ

โรคหัวใจ (Heart Disease) เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งโรคหัวใจนี้สามารถแบ่งย่อยออกมาได้หลายโรค ไม่ว่าจะเป็น โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย โดยมีจำนวนมากถึงปีละ 7 หมื่นราย และพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มวัย ซึ่งสาเหตุโรคหัวใจมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุ เพศ ครอบครัว ระดับความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด เป็นต้น ทั้งนี้เราสามารถป้องกันโรคหัวใจด้วยการปรับพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ


สาเหตุของโรคหัวใจ

สาเหตุโรคหัวใจนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายประเด็น ไม่มีสาเหตุที่ตายตัวแน่นอน แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่สามารถบ่งบอกได้ว่าน่าจะมีสิทธิ์เป็นโรคหัวใจได้ โดยปัจจัยเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดโรคหัวใจในประเภทที่ต่างกันออกไป เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น ประวัติครอบครัว เพศ ขาดการออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจสามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้
 
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
 
    อายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุขึ้น 40 แต่ในปัจจุบันพบว่าอัตราการเป็นโรคหัวใจพบมากขึ้นในคนอายุ 30-40 ปี การมีอายุมากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง

    เพศ เพศชายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าเพศหญิง แต่สำหรับผู้หญิงจะมีความเสี่ยงมากขึ้นหลังหมดประจำเดือน

    ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพ่อแม่เป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย (ผู้ชายก่อนอายุ 55 ปี และผู้หญิงก่อนอายุ 65 ปี)
     

ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้

    ระดับไขมันในเลือดสูง หรือโคเลสเตอรอลสูง โดยโคเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบหลักของไขมันที่มักสะสมในหลอดเลือดหัวใจ หากมีระดับโคเลสเตอรอลสูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนการรับประทานอาหาร เลือกทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เป็นต้น ในผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30 มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
   
    เบาหวาน คือความผิดปกติที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุเกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ หรืออาจเกิดจากร่างกายต่อต้านอินซูลินที่มีอยู่ การที่ร่างกายมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจเป็นสาเหตุของการทำลายผนังภายในของหลอดเลือดได้
    ความดันโลหิตสูง สามารถกระตุ้นให้กระบวนการสะสมไขมันที่ผนังหลอดเลือดเกิดได้เร็วขึ้น รวมถึงยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นด้วย ความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เสี่ยงต่ออาการหัวใจวาย หัวใจล้มเหลว หรือภาวะสมองขาดเลือด
    การสูบบุหรี่ สาเหตุหลักของมะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ และถุงลมโป่งพอง คนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงหัวใจวายอย่างมาก และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างกะทันหัน
    การใช้ชีวิตประจำวัน (Lifestyle) หากในชีวิตประจำวันไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การออกกำลังกายจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะสามารถช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


10 อาการเตือนโรคหัวใจที่ควรพบแพทย์

อาการโรคหัวใจนั้นเป็นเพียงแค่สัญญาณที่บ่งบอกให้ทราบถึงสุขภาพร่างกาย การจะรู้ว่าเป็นโรคหัวใจหรือเปล่านั้น จะต้องเข้ารับการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ ควบคู่กันไปด้วย สำหรับ 10 อาการเตือนโรคหัวใจที่ควรพบแพทย์ มีดังนี้
 
    เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก ร้าวไปที่กราม แขน ไหล่ หรือลิ้นปี่
    เหนื่อยง่าย
    หายใจถี่ หายใจไม่อิ่ม
    หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ
    ใจสั่น
    วิงเวียนศีรษะ
    บวมตามแขน ขา เท้า
    นอนราบไม่ได้
    อ่อนเพลีย
    ไอเรื้อรังแห้ง ๆ

หากพบว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคหัวใจให้เร็วที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่ามีปัญหาโรคหัวใจหรือไม่ และวางแผนการรักษาต่อไป

โรคหัวใจมีอะไรบ้าง

1. โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคหลอดเลือดหัวใจมักมีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง รวมถึงสูบบุหรี่จัด ทำให้มีการตีบตันในหลอดเลือดและเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ พบบ่อยในผู้ใหญ่ มีอาการที่สังเกตได้ง่าย ๆ คือเจ็บแน่นหน้าอก อึดอัด เหมือนมีสิ่งกดทับกลางอก เหนื่อยง่ายหายใจถี่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น โรคหลอดเลือดหัวใจนี้อาจเป็นแบบฉับพลันจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ (Heart Attack) ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม


2. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmia) มักเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด หลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น หรือเกิดจากสุขภาพร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โดยอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่สังเกตได้ง่ายคือ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมออาจเต้นเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป เจ็บหน้าอก หายใจถี่ วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น ผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรเข้ารับการตรวจไขมันในเลือดเพื่อหาสาเหตุอาการที่แท้จริง


3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ
 
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง (Cardiomyopathy) เป็นความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ สาเหตุที่พบบ่อยมาจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ทำให้เกิดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตายกล้ามเนื้อหัวใจก็บีบตัวลดลง ความดันในห้องหัวใจก็สูงขึ้นทำให้ห้องหัวใจโต หรือเป็นโรคหัวใจโต โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงจะไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัด แต่ก็มีบางรายที่ผู้ป่วยเกิดภาวะน้ำท่วมปอด
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) เป็นภาวะที่มีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวลดลง ส่งผลให้การส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ลดลงตามไปด้วย และยังมีผลทำให้การนำไฟฟ้าของหัวใจผิดปกติ เกิดเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมีอาการที่สังเกตได้คือ เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ขาบวมเท้าบวม ใจสั่น ใจเต้นเร็ว รวมถึงใจเต้นผิดจังหวะ
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นโรคที่เกิดจากการมีเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome: ACS) หรือที่เรียกกันว่า อาการหัวใจวาย โดยสัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันคือ มีอาการเจ็บหน้าอก (Chest Pain) ทั้งแบบทันทีหรือเจ็บเป็น ๆ หาย ๆ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ แน่นหน้าอก จุกเสียดลิ้นปี่ เป็นต้น


4. โรคลิ้นหัวใจ

โรคลิ้นหัวใจตีบ คือภาวะที่ลิ้นหัวใจเปิดและปิดได้ไม่สุด จึงทำให้เลือดไหลออกจากห้องหัวใจยากขึ้น ทำให้เกิดความดันและปริมาณเลือดสะสมย้อนกลับสู่ห้องหัวใจและหลอดเลือด อาการของโรคลิ้นหัวใจตีบ เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย นอนราบไม่ได้ ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ขาบวมเท้าบวม เป็นต้น
    โรคลิ้นหัวใจรั่ว (Heart Valve Regurgitation) คือภาวะที่ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท มีรูรั่วหรือขาด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือดในหัวใจลดลง มีสาเหตุหลัก ๆ มาจากความผิดปกติของหัวใจที่มีความบกพร่องมาตั้งแต่กำเนิด เช่น โครงสร้างของลิ้นหัวใจผิดปกติ หรืออาจมีสาเหตุมาจากโรคหลอดเลือดตีบตัน ส่งผลให้ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติได้ โดยอาการโรคหัวใจที่พบได้บ่อยคือ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก นอนราบไม่ได้ เท้าบวมขาบวม เป็นต้น ซึ่งมีอาการคล้ายกับโรคลิ้นหัวใจตีบ


5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease) คือความผิดปกติของการพัฒนาการโครงสร้างหัวใจตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจพิการคือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม มารดาได้รับยาบางอย่างในช่วงก่อน หรือระหว่างการตั้งครรภ์ และการปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้องของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติด

โดยอาการที่อาจสงสัยว่าเด็กเป็นโรคหัวใจพิการ ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ดื่มนมน้อย โตช้า เล็บสีม่วงคล้ำ อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก หากสังเกตพบว่าเด็กมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

6. โรคหัวใจที่เกิดจากการติดเชื้อ

โรคหัวใจที่เกิดจากการติดเชื้อ (Heart Infection) ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจแล้วส่งผลให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหัวใจ โดยเฉพาะบริเวณลิ้นหัวใจ ซึ่งการอักเสบนี้จะทำให้การไหลเวียนของเลือดในห้องต่าง ๆ ของหัวใจผิดปกติ ซึ่งมีอาการโรคหัวใจสำคัญ คือ มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย หน้าซีด ซูบผอม หากอาการรุนแรงขึ้นอาจมีภาวะหัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก หรือไตวายร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคหัวใจ มีดังนี้
 

    หัวใจวาย หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจ เกิดจากมีการอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจอย่างเฉียบพลันและมีการขัดขวางการไหลของเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้ เมื่อหัวใจขาดเลือดก็ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย
    ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นภาวะความผิดปกติของการทำงานของหัวใจที่ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ รวมถึงไม่สามารถรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ
    โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง โดยมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย
    ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ ไม่มีการบีบตัวหรือหยุดเต้นทันทีโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

    โรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง (Aortic Aneurysm) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจที่รุนแรง สามารถเกิดได้ทุกที่ในร่างกาย หากหลอดเลือดโป่งพองแตกจะทำให้เกิดภาวะเลือดออกภายในอย่างรวดเร็ว และเกิดอันตรายต่อชีวิตได้

ตรวจหัวใจเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่เราจำเป็นต้องให้ความใส่ใจและให้การดูแล การตรวจหัวใจจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ดี ที่จะช่วยประเมินสุขภาพความแข็งแรงของหัวใจ รวมไปถึงตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับหัวใจของเรา โดยปกติแล้วโรคหัวใจมักมีอาการ หรือสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่น เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เหนื่อยง่าย เป็นต้น แต่ในบางบุคคลก็อาจไม่มีสัญญาณเตือนเกิดขึ้นเลย ดังนั้นการเข้ารับการตรวจโรคหัวใจจะช่วยคัดกรองความเสี่ยงได้


ใครที่ควรเข้าตรวจโรคหัวใจ

กลุ่มคนที่ควรเข้ารับการตรวจโรคหัวใจมีดังนี้
 

    ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดสมอง
    ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง มีระดับไขมันสูง เป็นต้น
    มีสัญญาณเตือนจากอาการที่เกิดขึ้น เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่ายผิดปกติ ใจสั่น หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ
    ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจหัวใจเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง
    นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องใช้พละกำลังในการแข่งขัน เพื่อประเมินอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสม
    กลุ่มคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย


การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจมีอะไรบ้าง

การตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุโรคหัวใจเบื้องต้นจะเริ่มจากการซักประวัติ และตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อช่วยให้ระบุได้ว่าเสี่ยงเป็นโรคหัวใจหรือไม่ นอกจากนี้แพทย์จะใช้การทดสอบสมรรถภาพของหัวใจด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อวินิจฉัยโรคหัวใจ ดังนี้

1. การตรวจโรคหัวใจจากเลือด

การตรวจเลือดเพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหัวใจ (High-Sensitivity C-reactive protein: hs-CRP) เป็นการตรวจเพื่อบอกถึงค่าความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โดยการตรวจหาระดับโปรตีน C-reactive Protein ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในเลือด หากเซลล์อักเสบอย่างต่อเนื่อง ระดับ CRP ก็จะสูงตาม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้


2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

การตรวจคัดกรองโรคหัวใจด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG (Electrocardiogram) เป็นการตรวจเพื่อให้ทราบว่า การทำงานของหัวใจยังสม่ำเสมอหรือไม่ และสามารถตรวจหาความเสี่ยงต่อโรคที่มีผลกับการทำงานของหัวใจได้ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตามการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG อาจไม่พบเจอโรคหากไม่มีอาการ อาจจะต้องพึ่งการตรวจด้วยรูปแบบอื่นร่วมด้วย เช่น การตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST) เป็นต้น


3. การตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST)

การทดสอบสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คล้ายกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยจะใช้แผ่นตะกั่วชุดหนึ่งแปะติดกับหน้าอก และมีการบันทึกขณะที่ออกกำลังกาย เช่น การเดินบนสายพาน หรือขี่จักรยานอยู่กับที่ โดยการทดสอบนี้ใช้วัดค่าการตอบสนองของหัวใจ เช่น ความผิดปกติเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าในร่างกาย จำนวนเลือดที่ไหลไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจที่ตอบสนองต่อการออกกำลังกาย


4. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram)

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) เป็นวิธีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อจับภาพการเคลื่อนไหวของหัวใจ โดยจะศึกษาภาพเพื่อวัดและระบุถึงการทำงานและโครงสร้างของหัวใจ


5. การตรวจหัวใจด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)

การตรวจหัวใจด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Coronary CT Angiography หรือ CT Scan) เป็นวิธีการตรวจหัวใจเพื่อดูเส้นเลือดของหัวใจว่า หัวใจมีความผิดปกติอื่น ๆ ของหลอดเลือดหัวใจบ้างหรือไม่ หลอดเลือดหัวใจตีบ-ตันหรือไม่ รวมถึงใช้เพื่อติดตามผลการรักษาหลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย


6. การสวนหลอดเลือดหัวใจ (CAG)

การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Angiography: CAG) คือการฉีดสารทึบรังสีเพื่อ X-ray ดูช่องทางเดินของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หรือที่เรียกกันว่าฉีดสีหัวใจ การสวนหลอดเลือดหัวใจนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินได้ว่า หลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ-ตันหรือไม่ รวมถึงตรวจดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ การเปิด-ปิดของลิ้นหัวใจ และสามารถวัดความดันภายในหัวใจและส่วนต่าง ๆ ของหัวใจได้ หากพบว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน แพทย์สามารถรักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจได้ทันที
 
                                                         
แนวทางการรักษาโรคหัวใจ

โรคหัวใจรักษาหายไหม? โรคหัวใจหากว่าตรวจคัดกรอง หรือตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะได้ผลดีตามลำดับ การรักษาโรคหัวใจตามปกติแล้วจะรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ และรักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเป็นขณะนั้น เช่น การผ่าตัดหัวใจ หรือทำหัตถการต่าง ๆ ร่วมกับการทานยารักษาโรคหัวใจ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะช่วยควบคุมปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ได้แก่
 
    รับประทานอาหารสุขภาพ ผักผลไม้ เช่น ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมัน หรือน้ำตาลสูง รวมถึงอาหารจำพวกไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล เพื่อช่วยลดการเกิดไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน เป็นต้น
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การไม่เคลื่อนไหวร่างกายสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
    งดสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ และถุงลมโป่งพอง นอกจากนี้ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจวายมากกว่าคนปกติ และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างกะทันหัน
     

2. การทานยารักษาโรคหัวใจ

ยารักษาโรคหัวใจ (Cardiac medication) คือยาที่ใช้บรรเทาอาการต่าง ๆ ของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หัวใจเต้นผิดปกติ ป้องกันการเกิดภาวะกล้ามเนื้อโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นต้น เนื่องจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคหัวใจอย่างสม่ำเสมอ


3. การผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ

การผ่าตัดรักษาโรคหัวใจสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ ดังนี้
 
การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery)

โดยทั่วไปหมายถึงการผ่าตัดโดยใช้เครื่องปอดหัวใจเทียมช่วยในการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดเบี่ยงทางเดินหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting: CABG) สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ การผ่าตัดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีรูรั่วภายในหัวใจ ซึ่งวิธีการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดนี้จะมีแผลขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นการผ่าตัดมาตรฐาน สามารถผ่าตัดโรคหัวใจได้ทุกชนิด แต่มีข้อจำกัดคือ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังผ่าตัดได้ แต่ในปัจจุบันบางครั้งการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หรือการทำบายพาสหัวใจไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปอดหัวใจเทียม ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงและเจ็บปวดน้อยน้อยลง รวมถึงแผลผ่าตัดก็เล็กลง
 

การผ่าตัดหัวใจแบบปิด (Closed Heart Surgery)

การผ่าตัดหัวใจแบบปิดคือ การผ่าตัดโดยที่ไม่เปิดหัวใจ แต่ยังต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก ไม่ต้องใช้ปอดหัวใจเทียมช่วยระหว่างการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจโดยที่ไม่ได้เข้าไปผ่าตัดภายในหัวใจ


ข้อปฏิบัติของผู้ป่วยโรคหัวใจ

ข้อปฏิบัติตัวเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ มีดังนี้

    หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง การควบคุมอาหารประเภทไขมัน จะช่วยลดและชะลอการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจได้
    เน้นรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เนื่องจากจะช่วยลดการดูดซึมไขมัน รวมถึงยังช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่อีกด้วย
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้ค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18.5 - 24.9 กก./ม2
    งดการสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
    ทำจิตใจให้ร่าเริง ลดความเครียด
    ขยับร่างกายให้หัวใจแข็งแรง เช่น ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น แต่ไม่ควรหักโหมมากจนเกินไป โดยออกต่อเนื่องกันประมาณ 30 นาที
    เข้ารับติดตามผลการรักษาโรคหัวใจ หรือเข้ารับการตรวจสุขภาพตนเองอยู่เสมอ


การป้องกันโรคหัวใจ ทำอย่างไร

แนวทางการป้องกันตนเอง และช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ มีดังต่อไปนี้
 
    ผ่อนคลายความเครียด
    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
    งดการสูบบุหรี่
    ควบคุมความดันโลหิต
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    ตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ