รู้ทันโรคตับอักเสบ อาการที่เกิดขึ้น และการรับมือภาวะแทรกซ้อนโรค ตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อตับเกิดการอักเสบเสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การรู้ทันอาการและการรับมือกับภาวะแทรกซ้อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
1. รู้ทันอาการที่เกิดขึ้น
ตับอักเสบแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ เฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งมีอาการแสดงที่แตกต่างกัน
A. อาการตับอักเสบเฉียบพลัน (มักเกิดในช่วงแรกของการติดเชื้อหรือได้รับสารพิษ)
เป็นอาการที่เกิดขึ้นเร็วและมักหายไปได้เองภายใน 6 เดือน แต่บางกรณีอาจรุนแรงจนถึงขั้นตับวายได้:
อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าผิดปกติ (เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด)
ตัวเหลือง/ตาเหลือง (ดีซ่าน): เป็นสัญญาณชัดเจนว่าตับทำงานผิดปกติในการกำจัดบิลิรูบิน
อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่: มีไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ
อาการทางระบบทางเดินอาหาร: คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
ปัสสาวะสีเข้ม (สีเหมือนน้ำชาหรือโคล่า)
อุจจาระสีซีด หรือสีเทาอ่อน
B. อาการตับอักเสบเรื้อรัง (เกิดต่อเนื่องเกิน 6 เดือน)
ส่วนใหญ่มักเกิดจากไวรัสตับอักเสบ B, C, แอลกอฮอล์, หรือไขมันพอกตับ ซึ่งมักจะ ไม่มีอาการใด ๆ เลย ในช่วงแรก ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัว จนกระทั่งอาการรุนแรงเข้าสู่ ภาวะตับแข็ง
2. การรับมือภาวะแทรกซ้อน (เมื่อเข้าสู่ภาวะตับแข็ง)
หากตับอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดทั่วตับ จะพัฒนาเป็น ตับแข็ง (Cirrhosis) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน:
ภาวะแทรกซ้อน อาการที่พบ วิธีรับมือและการดูแล
1. ท้องมาน (Ascites) มีน้ำสะสมในช่องท้อง ทำให้ท้องบวมโตและแน่นอึดอัด ขาและข้อเท้าบวม แพทย์จะให้ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) และอาจต้องเจาะระบายน้ำออกจากช่องท้อง จำกัดปริมาณเกลือในอาหาร
2. เส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร (Esophageal Varices) อาเจียนเป็นเลือดสด หรือ อุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอย (เลือดออกในทางเดินอาหาร) ภาวะฉุกเฉิน ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที แพทย์จะใช้การส่องกล้องเพื่อผูกหรือฉีดยาหยุดเลือด
3. ภาวะสมองจากโรคตับ (Hepatic Encephalopathy) ตับไม่สามารถกำจัดสารพิษ (เช่น แอมโมเนีย) ได้ ทำให้สารพิษเข้าสู่สมอง อาการที่พบคือ ง่วงซึม สับสน พูดจาผิดปกติ มือสั่น ความจำเสื่อม หรือหมดสติ แพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยขับสารพิษออกจากลำไส้ ควรหลีกเลี่ยงภาวะท้องผูก และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
4. มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma) เกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็ง สำคัญที่สุดคือการเฝ้าระวัง: ผู้ป่วยตับแข็งทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งตับด้วยการ อัลตราซาวด์ และตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งทุก 6 เดือน
5. ภาวะเลือดออกง่าย เลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเลือดง่าย เนื่องจากตับสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือดได้น้อยลง ควรระมัดระวังการเกิดบาดแผล
3. การปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงและรับมือโรค
ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใด ผู้ป่วยตับอักเสบและผู้มีความเสี่ยงควรปฏิบัติตัวดังนี้:
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์: งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดโดยเด็ดขาด
ใช้ยาอย่างระวัง: ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยา ยาสมุนไพร หรืออาหารเสริมทุกชนิด
ควบคุมอาหาร: เน้นอาหารปรุงสุก สะอาด ลดอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง และเค็มจัด
พักผ่อนให้เพียงพอ: ไม่หักโหมออกกำลังกายหรือทำงานหนักเกินไป
ตรวจติดตามอาการ: พบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจค่าตับ (Liver Function Test) และอาจมีการตรวจอัลตราซาวด์ตับเพื่อประเมินภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับเป็นระยะ
การวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง