ผู้เขียน หัวข้อ: ยาแก้เมาเหล้า: อาการหลัง "ดื่มแอลกอฮอล์" แบบไหน? ที่ร่างกายเตือนว่าไม่ไหว  (อ่าน 36 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 371
    • ดูรายละเอียด
ยาแก้เมาเหล้า: อาการหลัง "ดื่มแอลกอฮอล์" แบบไหน? ที่ร่างกายเตือนว่าไม่ไหว

เมื่อถึงเทศกาลเฉลิมฉลอง เรื่องของ "แอลกอฮอล์" ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยากเสมอ เนื่องจากหลายคนอาจใช้เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยทำให้บรรยากาศของการเฉลิมฉลองสนุกสนาน สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน

การดื่มแอลกอฮอล์ดื่มได้ แต่ควรดื่มให้มีสติ และดูแลสุขภาพของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ก็มีคำถามว่า แล้วดื่มเท่าไหร่ถึงจะพอดี ที่จะไม่เมามากเกินไป ในทฤษฎีทางการแพทย์ระบุว่า ระดับความทนทานและการเมาของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ร่างกาย(ลักษณะความอ้วน-ผอม) โรคประจำตัว ฉะนั้นระดับของการไม่รู้สติหรือการควบคุมตัวเองไม่ได้ของแต่ละคนจึงต่างกัน


ดื่มแค่ไหน เรียก "เมา"
ทางการแพทย์ เมา หรือ ไม่เมา จะวัดกันที่ ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งวัดได้หลายรูปแบบ อาทิ การเป่า หรือการตรวจเลือดเพื่อหาระดับแอลกอฮอล์ ปกติแล้วในเลือดของเรา แอลกอฮอล์จะเป็น 0 เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในร่างกาย แต่เมื่อเราเริ่มดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ระดับแอลกอฮอล์จะขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าในทางกฎหมาย พระราชบัญญัติจราจรทางบก จะระบุว่า ถ้ามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ถือว่าเมา แต่ถ้าหากอายุน้อยกว่า 20 ปี มีการปรับลดกฏลงมาอีก ว่าถ้ามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ เท่านี้ก็ถือว่าเมาแล้ว ฉะนั้นการมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดระว่าง 20-50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ร่างกายจะแสดงออกถึงอาการเมาให้เห็น


ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดกับอาการของคนที่ดื่ม มีดังนี้

1. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 30 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 4 แก้ว แก้วละ 1 ฝา จะมีอาการครึกครื้น สนุกสนานร่าเริง

2. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 6 แก้ว แก้วละ 1 ฝา จะ มีทำให้การควบควบคุมการเคลื่อนไหวเสียไป ไม่สามารถควบคุมได้ดีเท่าภาวะปกติ

3. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 12 แก้ว แก้วละ 2 ฝา จะมีอาการเดินไม่ตรงทาง

4. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มเหล้า 24 แก้ว แก้วละ 2 ฝา จะเกิดอาการสับสน

5. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 300 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะมีอาการง่วง งง และซึม

6. ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเกิดอาการสลบ และอาจถึงตายได้

ปกติเบียร์ 1 แก้ว จะมีขนาด 285 มิลลิลิตร และมีดีกรีแอลกอฮอล์ 5% ซึ่งหากดื่มเบียร์ 3 แก้ว ร่างกายจะยังไม่สูญเสียการทำงาน ยังมีความรู้สึกผ่อนคลาย สนุกสนาน แต่ถ้าดื่มในระดับเพิ่มขึ้นถึงแก้วที่ 9 ร่างกายจะตอบสนองช้าลง เริ่มส่งผลเสียต่อการควบคุมตัวเอง

หากฝืนดื่มต่อไปถึง 13 แก้ว จะเกิดอาการง่วงซึม อาจเกิดอาการเมา อ่อนเพลีย อาเจียนได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับเบียร์ถึง 17 แก้ว จะส่งผลให้เกิดการเสียสมดุลของฮอร์โมน เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาท ทำให้เสียการควบคุม การมองเห็น ได้ยินไม่ชัด ร่างกายจะตอบสนองช้าลง ตัดสินใจช้าลง

ดื่มแอลกอฮอล์ "แต่น้อย" อย่างไรถึงจะอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม "ไม่เมา"
- เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่มาก ประมาณ 5% หรือ 5 ดีกรี
ปริมาณที่เหมาะสมที่จะไม่เมาคือ ครึ่งแก้วเบียร์ใหญ่ หรือ 3-4 กระป๋องเล็ก หรือไม่เกิน 200-300 cc ต่อวัน

- ไวน์ มีแอลกอฮอล์ประมาณ 10% หรือ 10 ดีกรี
ปริมาณที่เหมาะสมที่จะไม่เมาคือ ก้นแก้วไวน์ หรือประมาณ 100 cc

- เหล้าต่าง ๆ มีแอลกอฮอล์ประมาณ 35-40% หรือ 35-40 ดีกรี
ปริมาณที่เหมาะสมที่จะไม่เมาคือ 2 ใน 3 ของแก้วเป๊ก


ยิ่งดื่มบ่อย จะยิ่งดื่มเก่ง?

นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ ผู้อำนวยการอาวุโสโครงการพิเศษพัฒนาศักยภาพด้านการสื่อสาร ประจำศูนย์การแพทย์ รพ.กรุงเทพ ได้ให้ข้อมูลว่า เป็นเรื่องจริง เนื่องจากมีศัพท์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า "Tolerate" คือความทนทาน ถ้าเราดื่มเป็นประจำบ่อย ๆ ก็จะทำให้ร่างกายเราเกิดความคุ้นชินกับระดับแอลกอฮอล์ เพราะฉะนั้นจะส่งผลให้เราเมาช้าลง และดื่มได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสรีระปกติของร่างกายอยู่แล้ว เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์มีฤทธิ์มึนเมาที่อาจทำให้ผู้ที่ดื่มขาดสติได้ ควรดื่มแต่พอดีในปริมาณที่เหมาะสมก็อาจจะนำมาซึ่งประโยชน์ได้ แต่หากดื่มจนประคองสติไม่ไหวอาจทำให้ร่างการควบคุมตัวเองไม่ได้ ท้ายที่สุดอาจนำมาซึ่งเหตุการณ์ความสูญเสีย