แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 28
1
ตรวจสุขภาพ: ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) เป็นภาวะที่เยื่อบุบริเวณโพรงอากาศข้างจมูกเกิดการอักเสบบวมจากการติดเชื้อ ทำให้คัดจมูก มีน้ำมูกข้น ปวดบริเวณจมูก ตา โหนกแก้ม หน้าผาก ฟัน ไอ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น สามารถเกิดได้ทั้งแบบฉับพลันและเรื้อรัง ซึ่งการรักษาสามารถทำได้โดยการดูแลตนเองร่วมกับใช้ยาตามแพทย์สั่ง

ไซนัส (Sinus) คือ โพรงอากาศบริเวณกระดูกใบหน้า มี 4 คู่ ได้แก่ ไซนัสแมกซิลลา (Maxillary Sinus) อยู่ในกระดูกโหนกแก้ม ไซนัสเอธมอยด์ (Ethmoid Sinus) อยู่ระหว่างเบ้าตาและด้านข้างของจมูก ไซนัสฟรอนตัล (Frontal Sinus) อยู่ในกะโหลกส่วนหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ไซนัสสฟีนอยด์ (Sphenoid Sinus) อยู่ในกระดูกส่วนที่เป็นฐานสมอง โดยภายในโพรงไซนัสแต่ละจุดจะมีเยื่อบุไซนัสทำหน้าที่ผลิตเมือกสำหรับดักจับฝุ่นและเชื้อโรค

อาการของไซนัสอักเสบ

เนื่องจากไซนัสอักเสบเกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุไซนัสที่บริเวณโหนกแก้ม โพรงจมูก และกระดูกหน้าผาก อาการของไซนัสส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ ดังนี้

    หายใจติดขัด อึดอัด คัดจมูก
    มีน้ำมูกสีเขียวหรือสีเหลืองข้น
    ประสาทรับกลิ่นไม่ดี
    ปวดบริเวณไซนัส ได้แก่ โหนกแก้ม หน้าผาก จมูกตรงระหว่างคิ้ว หัวคิ้ว และหัวตา
    ปวดฟัน ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น มีกลิ่นปาก
    มีไข้ อ่อนเพลีย
    ไอ เจ็บคอ มีมูกข้นในลำคอหรือมูกไหลลงลำคอ

อาการของไซนัสอักเสบมีระยะเวลาฟื้นตัวและหายดีแตกต่างกันตามชนิดของการอักเสบ คือ

    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute Sinusitis) มักเกิดร่วมกับโรคหวัด ระยะเวลาป่วย 2–4 สัปดาห์
    ไซนัสอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นยาวนานประมาณ 4–12 สัปดาห์
    ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (Chronic Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป มักพบร่วมกับการป่วยโรคภูมิแพ้
    ไซนัสอักเสบซ้ำซ้อน (Recurrent Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นมากกว่า 3 ครั้งใน 1 ปี โดยแต่ละครั้งมีอาการนานมากกว่า 10 วัน

สาเหตุของไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ เกิดจากเยื่อบุไซนัสติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านเข้ามาทางกระบวนการหายใจ จนเนื้อเยื่อเกิดอาการบวม สารคัดหลั่งเมือกเหลวที่ถูกผลิตขึ้นจึงเกิดการอุดตันกลายเป็นหนองอักเสบหรือน้ำมูกเขียวข้น ทำให้เกิดอาการคัดจมูก มีน้ำมูกไหล มีอาการปวดบริเวณไซนัสที่อักเสบ และมีอาการป่วยอื่น ๆ ตามมา

ไซนัสอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบในอัตรา 90% ของผู้ป่วย หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการพัฒนาโรคที่รุนแรงขึ้นอาการจะทุเลาลงและหายดีเองภายในประมาณ 10 วัน ในขณะที่การติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้ไซนัสอักเสบจะพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 5–10% เท่านั้น และต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ มักมีอาการนานกว่า 10 วัน หรืออาการแย่ลงหลังจากเป็นมานาน 5 วัน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้อาการอักเสบยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ทุเลาลง หรือลุกลามยาวนานจนกลายเป็นไซนัสอักเสบระยะเรื้อรังมีหลายปัจจัย เช่น การป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะภูมิแพ้อากาศและหอบหืด การเกิดเนื้องอกในจมูก การเกิดผนังกั้นช่องจมูกคด การมีภูมิคุ้มกันต่ำ และการสูบบุหรี่


การวินิจฉัยไซนัสอักเสบ

การวินิจฉัยอาการไซนัสอักเสบอาจใช้วิธีสังเกตตนเองร่วมกับการตรวจจากแพทย์ ดังนี้

การวินิจฉัยด้วยตนเอง

อาการของไซนัสคล้ายกับอาการของไข้หวัด ผู้ป่วยควรสังเกตว่ามีน้ำมูกอุดตันจนหายใจลำบาก มีมูกข้นในลำคอหรือไหลลงสู่ลำคอ หรือมีอาการปวดตามจุดต่าง ๆ ที่เป็นตำแหน่งของไซนัสหรือไม่

และควรมาพบแพทย์ทันทีหากมีอาการป่วยรุนแรง เช่น มีอาการปวดศีรษะมาก ไข้สูง มองเห็นภาพซ้อนหรือการมองผิดจากปกติ ปวดบวมบริเวณดวงตา จมูก หน้าผาก แก้ม รักษาแล้วแต่อาการไม่ทุเลาลง มีอาการเรื้อรังยาวนานเกินกว่า 10 วัน หรือเคยมีประวัติป่วยด้วยไซนัสอักเสบมาก่อน
การวินิจฉัยโดยแพทย์

ในเบื้องต้นแพทย์จะซักถามอาการและประวัติการป่วยร่วมกับการตรวจร่างกาย โดยอาจพบเยื่อบุโพรงจมูกมีการอักเสบบวมแดงหรือมีหนอง ตรวจมูกหนองในลำคอ และกดตามจุดบริเวณใบหน้าเพื่อตรวจหาตำแหน่งอักเสบของไซนัส

ส่วนการตรวจพิเศษเพื่อให้ทราบผลที่แน่ชัด แพทย์มักใช้วิธีวินิจฉัยภาพที่ได้จาก

    Computed Tomography Scan (CT Scan) แพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปทางหลอดเลือดดำ แล้วฉายรังสีเอกซ์ให้คอมพิวเตอร์สร้างภาพออกมา โดยในระหว่างการฉายรังสีจะไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวด
    Magnetic Resonance Imaging (MRI) เป็นเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปกระตุ้นอวัยวะส่วนที่จะตรวจ แล้วสร้างเป็นภาพออกมา เป็นวิธีการตรวจที่มีความละเอียดและความแม่นยำสูง สามารถใช้ตรวจร่างกายภายในได้ทุกระบบ แพทย์จะวินิจฉัยจากภาพที่ได้ว่ามีสารเหลวอยู่ในบริเวณไซนัสหรือไม่และบริเวณใด แล้วเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป

นอกจากนั้น แพทย์ยังอาจใช้การตรวจเลือดเพื่อหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Cell) เพื่อดูการทำงานและปริมาณของเม็ดเลือดขาว ตรวจหาอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte Sedimentation Rate, ESR) และตรวจหา C-Reactive Protein ในเลือด

อีกวิธีที่ใช้ตรวจบริเวณโพรงจมูกและไซนัส คือ Nasal Endoscopy เป็นการส่องกล้อง Endoscope โดยแพทย์จะสอดหลอดแก้วนำแสงเข้าไปทางจมูก แล้วตรวจดูจุดต่าง ๆ ว่ามีการอักเสบหรือมีหนองที่ไซนัสหรือไม่ผ่านภาพจากกล้อง
การรักษาไซนัสอักเสบ

การรักษาอาการอักเสบของไซนัสอาจทำได้ด้วยการดูแลตนเองและการเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ดังนี้
การดูแลตนเองเบื้องต้น

หากป่วยด้วยไซนัสอักเสบแบบเฉียบพลัน อาการจะทุเลาลงและหายดีภายใน 2–4 สัปดาห์ ในระหว่างนั้นผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองที่บ้านได้ ดังนี้

    การใช้ยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น กลุ่มยาแก้ปวดและลดไข้ อย่างพาราเซตามอล (Paracetamol) และไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เพื่อช่วยลดไข้และบรรเทาอาการปวดบวมอักเสบ และกลุ่มยาลดน้ำมูกและแก้คัดจมูก (Decongestant) เพื่อช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกหายใจติดขัด อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังของยากลุ่มนี้คือไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกินกว่า 1 สัปดาห์
    การใช้แผ่นประคบร้อน (Warm Pack) ประคบตามจุดต่าง ๆ ที่มีอาการปวดบนใบหน้า ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดและทำให้มูกเหลวที่อักเสบไหลออกมามากขึ้น
    การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ โดยก่อนการล้างจมูกควรล้างมือและอุปกรณ์ทุกชนิดให้สะอาด แล้วใช้กระบอกฉีดยาฉีดน้ำเกลือเข้าโพรงจมูกข้างหนึ่งอย่างช้า ๆ น้ำเกลือจะชะล้างหนองที่อักเสบและสิ่งสกปรกที่ตกค้างภายในโพรงจมูกให้ไหลออกมาทางจมูกอีกข้างหนึ่ง

การรักษาทางการแพทย์

หากเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว อาการไซนัสอักเสบยังไม่ทุเลาลง มีอาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นไซนัสอักเสบซ้ำหลายครั้ง ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาอาการ โดยแพทย์จะมีวิธีการรักษา ดังนี้

การให้ยา

ยาบางชนิดต้องอยู่ภายใต้คำสั่งและการดูแลของแพทย์ ได้แก่ ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Nasal Corticosteroids) เป็นยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ ใช้พ่นเข้าไปในจมูกเพื่อลดอาการอักเสบ ลดการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก มีประสิทธิผลทั้งทางการรักษาและทางการป้องกันการอักเสบ

ในบางกรณี หากสเตียรอยด์แบบสเปรย์รักษาไม่ได้ผล แพทย์จะให้ใช้สเตียรอยด์แบบหยด โดยผสมสเตียรอยด์ในน้ำเกลือที่ใช้ล้างจมูกแทน ผลข้างเคียงของการใช้ยานี้คือ อาจเกิดอาการระคายเคืองจมูก มีเลือดไหลจากจมูก หรือเจ็บคอร่วมด้วย ส่วนยาสเตียรอยด์แบบรับประทานจะใช้ในรายที่มีอาการป่วยรุนแรง และไม่ควรใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

สำหรับยาลดอาการคัดจมูกแบบรับประทาน เช่น pseudoephedrine และ phenylephrine แพทย์จะจ่ายยาในปริมาณสำหรับรับประทาน 10–14 วัน ยาลดอาการคัดจมูกแบบพ่นหรือหยด เช่น Oxymetazoline และ Hydrochloride ใช้รักษาภายใน 3–5 วัน

ส่วนยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) จะถูกนำมาใช้ในกรณีที่ไซนัสอักเสบจากแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาโดยพิจารณาจากความรุนแรงของโรคเป็นเวลา 10–14 วัน เช่น ยากลุ่ม Amoxicillin, Clarithromycin และ Azithromycin

แต่หากผู้ป่วยต้องอยู่อาศัยในบริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อสูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังรับยาไปแล้ว 2–3 วัน แพทย์จะใช้ยารักษาในขั้นถัดไป เช่น Amoxicillin-clavulanate, Cephalosporins, Macrolides, Fluoroquinolones และ Clindamycin

การผ่าตัด

หากการรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์จะใช้การผ่าตัดด้วยวิธี Functional Endoscopic Sinus Surgery (FESS) เป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขยายที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษในการผ่าตัดนี้และมองภาพขณะผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยาสลบในขณะผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย
ภาวะแทรกซ้อนของไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังนี้

    เกิดภาวะประสาทรับกลิ่นแย่ลง (Hyposmia) หรือสูญเสียประสาทรับกลิ่น (Anosmia) นอกจากการอุดตันของมูกและหนองจะทำให้คัดจมูกหายใจลำบากแล้ว ยังมีผลต่อการรับกลิ่นของเซลล์บริเวณจมูกด้วย
    การติดเชื้อซ้ำซ้อน แม้จะมีภาวะไซนัสอักเสบไปแล้ว แต่บริเวณเยื่อบุไซนัสอาจอักเสบซ้ำได้ด้วยสาเหตุอื่น หรือการอักเสบอาจเกิดขึ้นกับไซนัสบริเวณอื่น ซึ่งจะเป็นผลให้อาการป่วยทรุดลงหรือพัฒนาไปสู่ภาวะไซนัสอักเสบเรื้อรัง
    ต่อมน้ำลายอุดตัน เป็นผลพวงมาจากการอุดตันของหนองอักเสบในไซนัส หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังโครงสร้างอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง
    การติดเชื้อที่อวัยวะและโครงสร้างเซลล์บริเวณใกล้เคียงกับไซนัส เป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้แต่ไม่บ่อยนักแต่จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การอักเสบที่ดวงตา เส้นเลือดอักเสบ เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การอักเสบของกระดูกและไขกระดูก


การป้องกันไซนัสอักเสบ

การป้องกันไซนัสอาจเสบอาจทำได้โดยการปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

    ป้องกันตนเองจากไข้หวัด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยไซนัสอักเสบ โดยสามารถทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี รักษาสุขอนามัย ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือสัมผัสผู้ที่กำลังป่วยด้วยโรคไข้หวัด
    หลีกเลี่ยงฝุ่นควันและมลภาวะ เมื่อต้องออกนอกบ้านหรือเดินทางในพื้นที่เสี่ยงต่อมลภาวะ ควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เมื่ออยู่ในบ้านก็ควรทำความสะอาดกำจัดฝุ่นและขนสัตว์อยู่เสมอ และหากป่วยเป็นภูมิแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือสัมผัสสารที่ตนแพ้ด้วย
    ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้คนที่กำลังสูบบุหรี่ เพราะควันและสารพิษจากบุหรี่จะทำให้เกิดการระคายเคืองในเนื้อเยื่อจมูกและไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบตามมา
    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เช่น พืชผักผลไม้และอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างส้ม องุ่น ถั่ว ผักคะน้า หัวมัน ธัญพืช เนื้อปลา




2
การจัดฟันเด็ก มีกี่แบบ

การจัดฟันในเด็ก เป็นการจัดฟันสำหรับเด็กที่มีอายุ 4-15 ปี ซึ่งการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย คือตั้งแต่มีฟันน้ำนมหรือระยะฟันผสม ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะเป็นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของลักษณะฟัน การขึ้นของฟันที่มีความผิดปกติ รวมไปถึงปัญหาการสบฟันที่มีความผิดปกติ โดยปัญหาเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก หรือแม้กระทั่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหาในเรื่องดังกล่าว อาจจะทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายเด็กได้ หรือเด็กบางคนอาจะส่งผลทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร จนทำให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กได้ ดังนั้น การจัดฟันในเด็กจึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เรียกว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยเทีเดียว

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในวัยเด็กนั้น พฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการดูดขวดนม พฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ส่งผลทำให้เด็กเติบโตมามีการสบฟันที่ผิดปกติ รวมไปถึงอาจจะส่งผลต่อโครงสร้างของใบหน้าด้วย ดังนั้น เด็กที่มีปัญหาควรได้รับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่กำลังคิดจะนำบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็อาจจะสงสัยว่า การจัดฟันในเด็กนั้นมีกี่รูปแบบ และแต่ละแบบมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันอย่างไร และเราจะสามารถทราบได้อย่างไรว่า บุตรหลานของเราเหมาะสำหรับการจัดฟันในรูปแบบใด เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการเข้ารับการจัดฟันในเด็กว่ามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เราต้องอธิบายก่อนว่า กาจัดฟันเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถนำบุตรหลานของท่านที่มี อายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หรือไม่จำเป็นต้องรอให้ฟันน้ำนมหลุดก่อน แนะนำให้พาเด็กอายุ 7-10 ปี ไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพราะหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว


ดังนั้น การที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจฟันตั้งแต่เล็ก นอกจากเพื่อตรวจดูว่ามีฟันผุหรือไม่ จะได้รีบรักษา รวมทั้งให้วิธีการป้องกันฟันผุแล้ว ยังเพื่อให้เด็กตรวจพบความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันแต่เนิ่นๆ และจะได้วางแผนเวลา และวิธีการรักษาที่เหมาะสม สำหรับรูปแบบการจัดฟันในเด็ก ที่เรามักจะพบได้บ่อยหรือได้รับความนิยมมากก็มีด้วยกัน 2 รูปแบบ ซึ่งเป็นการจัดฟันในเด็ก แบบใช้เครื่องมือ EF Line และการจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือแบบติดแน่น ซึ่งสองวิธีนี้เป็นการจัดฟันในเด็กที่สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งการจัดฟันแบบ EF Line จะมักนิยมใช้ในเด็กที่มีอายุประมาณ 4-7 ปี เพราะเครื่องมือสามารถเอาออกได้ เป็นการปรับโครงสร้างของ

ใบหน้าเด็ก ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งมักจะใช้จัดฟันในเด็กที่ยังมีการเจริญเติบโตอยู่ ต่อมาก็คอการจัดฟันในเด็กที่มีเครื่องมือแบบติดแน่น ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้ มักจะใช้ในเด็กที่มีอายุ 7-15 ปี เพราะเด็กในวัยยี้เริ่มมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูรักษาสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว และยังให้ความร่วมมือในการรักษากับทันตแพทย์ได้ดีอีกด้วย นี่ก็คือรูปแบบการจัดฟันในเด็กที่ได้รับความนิยมาก เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาความผิดปกติของฟันของเด็ก รวมไปถึงความผิดปกติของโครงสร้างใบหน้าด้วย

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลาของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก แบะมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

3
motor expo: โตโยต้า Toyota Revo Double Cab 4x4 2.8 GR Sport AT ปี 2024
1,499,000 บาท 

โตโยต้า Toyota Revo Double Cab 4x4 2.8 GR Sport AT ปี 2024
Hilux Revo Double Cab 4x4 2.8 GR Sport AT นิยามความแกร่ง สปอร์ตพรีเมี่ยม กระบะสายพันธ์แกร่งรุ่นเรือธงที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากรถแข่งออฟโรดแรลลี่ ด้วยสมรรถนะการขับขี่เป็นเลิศกับเครื่องยนต์ 2.8 GD Super Power ปรับจูนใหม่ 224 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตัน-เมตร ปรับจูนช่วงล่าง เพิ่มความกว้างฐานล้อ (wide tread) ด้านหน้าขึ้นอีก 140 มม ด้านหลัง 155 มม และเปลี่ยนเบรกหลังเป็นดิสก์เบรก ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ ยึดเกาะถนนได้ดีมากขึ้น


รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์           Toyota
   รุ่น                โตโยต้า Toyota Revo Double Cab 4x4 2.8 GR Sport AT ปี 2024
   ประเภทรถ       รถกระบะ 4 ประตู
   ปีที่เปิดตัว       2024
   ราคา            1,499,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (กระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถและสีดำเมทัลลิก พร้อมตัวหนังสือ Toyota สัญลักษณ์ GR, กันชนหน้าพร้อมชุดตกแต่ง,สัญลักษณ์ GR ด้านข้าง, สัญลักษณ์ GR Sport บริเวณประตูท้าย)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (และระบบ Welcome Light)
ไฟตัดหมอก (หน้า LED)
ระบบควบคุมระยะการจอด (ด้านท้าย และมุมกันชนหน้า-หลัง)
ไฟหน้าส่องสว่างอัตโนมัติ (เปิด-ปิด อัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-me-home, ระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติ)
ขนาดยางหน้า-หลัง (215/55R17 ยาง BFGoodrich)
ไฟ Daytime Running Lights (แบบ LED)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (เหล็กกันโคลงพร้อมโช้คแบบ Monotube เฉพาะรุ่น GR Sport,บันไดข้างสีดำ,ชุดแต่งซุ้มล้อ GR-S,สปอร์ตบาร์,อุปกรณ์ผ่อนแรงฝาท้าย)
ไฟหน้า LED (Bi-Beam)
ไฟท้าย LED (Light Guiding)
ล้ออัลลอย (17 นิ้ว GR Sport)
ยางอะไหล่สำรอง (215/55R17 ล้ออัลลอย 17 นิ้ว)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้ (ไฟฟ้า)
ระบบนำทาง (Navigator) (รองรับ T-Connect Telematics)
ตกแต่งภายใน (โทนสีดำสลับแดง ตกแต่งด้วยสี Smoke silver ลายไฮโดรกราฟ และสีดำเมทัลลิก พร้อมสัญลักษณ์ GR แผงข้างประตู สีดำบุหนังสังเคราะห์พร้อมแถบสี Smoke silver และสีดําเมทัลลิก)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์ (2 ตำแหน่ง, กระแสสลับ AC 220 โวลต์ 1 ตำแหน่ง)
พวงมาลัยหุ้มหนัง (แบบ Soft Touch เจาะรู พร้อม Center Mark สีแดง เดินได้แดง และแถบสร Smoke Silver พร้อมสัญลักษณ์ GR)
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (ใกล้-ไกล ได้)
ภายในโทนสีดำ
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (แป้นคันเร่งแบบสปอร์ต)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (Eco/Power)

สเปค
   เครื่องยนต์                 1GD-FTV (High) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์

   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      2,755 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   224 แรงม้า
   ระบบเกียร์                    เกียร์ออโต้ 6AT
   รูปแบบเกียร์                  พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift
   ระบบเบรค ABS           มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง    ดีเซล
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)    80 ลิตร
   ระบบจ่ายน้ำมัน          หัวฉีดไดเร็คอินเจคชั่น คอมมอนเรล (แบบ i-ART)

   น้ำหนักตัวรถ              -
   ประเภทยางรถยนต์      -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)          ล้ออัลลอย (17 นิ้ว GR Sport)
   ระบบขับเคลื่อน         ขับเคลื่อนสี่ล้อ (พร้อม Differential lock ที่เฟืองท้าย)

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VSC/ป้องกันล้อหมุนฟรี TRC แบบ A-TRC)
ตัวถังนิรภัย (GOA)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ (พร้อมคาลิปเปอร์สีแดง และสัญลักษณ์ GR Sport)
เซ็นทรัลล็อค (แบบ Speed Auto Lock)
สัญญาณกันขโมย (TDS)
กุญแจรีโมท (Smart Key ดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport)
ล็อคประตูอัตโนมัติ (พร้อมแบตเตอรี่สำรองของระบบ)
ไฟเบรกดวงที่ 3 (แบบ LED)
ระบบป้องกันการโจรกรรม (Immobilizer)
หลอดไฟพิเศษระบบ Daytime Running Lights(DRL) (แบบ LED)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC,ป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน,ระบบควบคุมเฟืองท้าย)
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ สีแดง ดีไซน์เฉาะ GR Sport)
พวงมาลัยยุบตัวได้
กระจกนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HAC/ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC)
อื่นๆ (ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลย พร้แมหน่วงกลับอัตโนมัติ)
ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE system) (ระบบความปลอดภัยก่อนการชน)
กล้อง (รอบคัน)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) (ที่กระจกมองข้าง)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA)

4
บิ๊กไบค์ ดูคาติ Ducati Hypermotard 698 Mono ปี 2024
449,000 บาท

ดูคาติ Ducati Hypermotard 698 Mono ปี 2024
ฏDucati Hypermotard 698 Mono โดดเด่นด้วยดีไซน์สุดโฉบเฉี่ยว สวยสะกดทุกสายตา การันตีด้วยรางวัล The Most Beautiful Motorcycle (Moto pi? bella) ในงาน EICMA 2023 ประเทศอิตาลี ไซน์โดดเด่น เพรียวบาง ไฟหน้า LED ออกแบบสไตล์สปอร์ต พร้อมไฟวิ่งกลางวัน (DRL) ที่ออกแบบ "double C" ซึ่งครอบคลุมมุมมองด้านหน้า สำหรับบังโคลหน้าดีไซน์แบบปากนกและปาดเว้าให้ดูโฉบเฉี่ยว มาพร้อมแฟริ่งของตัวรถที่ใช้ชุดสีแดงทั้งคัน เพิ่มความดุดัน ด้วยสีดำและสีทองเรียบหรูลงตัว พร้อมกับสมรรถนะเครื่องยนต์สูบเดียวที่ทรงพลังที่สุดในโลก โดยเป็นเครื่องยนต์ Superquadro Mono เครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของ Ducati ที่พัฒนาเป็นเครื่อง Desmodromic สูบเดี่ยวช่วงชักสั้นขนาด 659 ซีซี ถอดแบบจากเครื่องยนต์ Superquadro Mono 1,285 ซีซี ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อนในการผลิตเครื่องยนต์กระบอกสูบเดียว มีรอบหมุนสูงสุด 10,250 รอบต่อนาที ทรงพลังด้วยกําลังสูงสุด 77.5 แรงม้า ที่ 9,750 รอบต่อนาที และแรงบิด 63 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ทํางานโดยมีระดับการสั่นสะเทือนตํ่ามาก (เทียบกับ V-twin 90?) พร้อมเติมเต็มความสนุกในการขับขี่ไม่รู้จบด้วย 4 โหมดการขับขี่ ได้แก่ Sport, Road, Urban และ Wet รวมถึงเกียร์ 6 สปีด มีระบบ AntiHopping ป้องกันการกระโดดข้ามของเกียร์ที่มีขนาดกะทัดรัด พร้อมระบบไฮดรอลิกแบบโปรเกรสสีฟใช้แรงกดตํ่าขณะเข้าเกียร์

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                Ducati
   รุ่น                     ดูคาติ Ducati Hypermotard 698 Mono ปี 2024
   ประเภทรถ            MOTARD
   ปีที่เปิดตัว            2024
   ราคา                  449,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์       เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์         6 เกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์       Superquadro Mono, single-cylinder, 4 valves per cylinder, Desmodromic timing, 2-balance countershafts
   ระบบระบายความร้อน         น้ำ
   ระบบสตาร์ท                  สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)       659 CC
   แบบเครื่องยนต์              4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง         แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                  หัวฉีด (Electronic Fuel Injection System, 62 mm throttle body with full Ride by Wire System)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)          12 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน            ล้อหน้า 45 mm Marzocchi fully adjustable aluminum fork, ล้อหลัง Progressive linkage with Sachs fully adjustable monoshock. Aluminum double-sided swingarm

    ระบบเบรค                  ล้อหน้า ดิสก์เบรก (330 mm aluminum flage disc, Brembo M4.32 calliper, radial pump with adjust lever, With Bosch Cornering ABS), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (245 Disc, single piston floating caliper, with Bosch Cornering ABS)

   แบบวงล้อ                     อัลลอย
   ขนาดยาง                     ล้อหน้า Pirelli Diablo Rosso IV, 120/70 ZR17, ล้อหลัง Pirelli Diablo Rosso IV, 160/60 ZR17
   น้ำหนักตัวรถ                 151.00 กก.

5
หมอออนไลน์: ผมร่วงกรรมพันธุ์

ผมร่วงชนิดนี้เป็นภาวะที่พบได้บ่อย พบได้ทั้งสองเพศ แต่จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง


สาเหตุ

เกิดจากกรรมพันธุ์ คือ จะมีพ่อแม่พี่น้องที่มีอาการผมบาง (ศีรษะเถิก หรือศีรษะล้าน) เช่นเดียวกัน ทำให้รากผมบริเวณที่ร่วงมีความไวต่อฮอร์โมนเพศชาย (androgen) ที่เรียกว่า ไดไฮโดรเทสโทสเทอโรน (dihydrotestosterone) ทำให้เส้นผมมีอายุสั้นกว่าปกติ จึงร่วงเร็วกว่าบริเวณที่ปกติ (โดยที่จำนวนเส้นผมที่ร่วงในแต่ละวันไม่ได้มากกว่าปกติ) แล้วเส้นผมที่เกิดขึ้นใหม่จะมีขนาดเล็กบางและสั้นลงจนเป็นเส้นขนอ่อน ๆ ทำให้บริเวณนั้นดูว่าผมบางหรือไม่มีผม โดยมักจะเป็นตรงบริเวณหน้าผากและตรงกลางศีรษะ ส่วนด้านข้างและด้านหลังมักจะปกติ


อาการ

มักเริ่มแสดงอาการเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือเมื่อมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในผู้ชายถ้าเป็นไม่มาก ผมจะบางเฉพาะบริเวณหน้าผาก กลายเป็นศีรษะเถิก มีรูปร่างเหมือนตัวอักษร M ถ้าเป็นมากจะทำให้ศีรษะล้าน แบบที่เรียกว่า ทุ่งหมาหลง หรือดงช้างข้าม

ส่วนในผู้หญิงมักจะเริ่มแสดงอาการหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน มักจะร่วงทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะตรงบริเวณกลางกระหม่อม ทำให้แลดูผมบางลง

อาการจะเป็นมากน้อยขึ้นกับกรรมพันธุ์ที่ได้รับมา และอายุยิ่งมากก็ยิ่งเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

บางรายอาจเกิดร่วมกับการมีรังแคมาก ทำให้มีอาการคัน และมีขี้รังแคมาก


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้รู้สึกมีปมด้อยหรือขาดความมั่นใจในตัวเอง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติ (มีคนในครอบครัวเป็นผมร่วงกรรมพันธุ์) การตรวจดูลักษณะอาการของผมร่วง และจากการตรวจแยกแยะจากสาเหตุอื่น


การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่เริ่มมีอาการศีรษะล้าน แพทย์อาจให้การรักษาโดยการให้กินยากลุ่มยับยั้งแอลฟารีดักเทส (alpha reductase inhibitor) ซึ่งมีฤทธิ์ลดฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเทอโรน ได้แก่ ไฟนาสเตอไรด์ (finasteride) ซึ่งจะเห็นผลหลังใช้ยาได้ 6 เดือน และได้ผลเต็มที่หลังใช้ยาประมาณ 2 ปี ผู้ป่วยควรใช้ยาต่อไปทุกวัน หากหยุดยาผมก็จะกลับมาร่วงได้อีก ยานี้ใช้ได้ผลเฉพาะผู้ชาย ไม่ใช้ในผู้หญิงเพราะนอกจากไม่ได้ผลแล้ว หากใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติของการสร้างอวัยวะเพศชายของทารกในครรภ์ได้

ยานี้ควรใช้ตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มบาง ถ้าศีรษะล้านเต็มที่แล้วใช้ไม่ได้ผล ผลข้างเคียงที่อาจพบก็คือ ภาวะองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfuction) ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 1

ในบางรายอาจใช้ยาน้ำไมน็อกซิดิล (minoxidil) ชนิด 2% หรือ 5% ทาทุกวัน ถ้าได้ผลผมจะเริ่มงอก 4-6 เดือนหลังทายา และได้ผลสูงสุดหลังทายา 12 เดือน ควรทาติดต่อทุกวันไปตลอด ยานี้เป็นยาที่ใช้ลดความดันโลหิต พบว่ามีผลทำให้ขนดกขึ้น สันนิษฐานว่าเป็นเพราะฤทธิ์การขยายหลอดเลือดของยานี้

ถ้าใช้ยารักษาไม่ได้ผล อาจแนะนำให้ใส่ผมปลอม (วิก) ทอผม หรือผ่าตัดปลูกถ่ายผม

ข้อแนะนำ

ผมร่วงกรรมพันธุ์ ถือเป็นธรรมชาติของคน ๆ นั้น เนื่องจากกรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนด หากจะลองใช้วิธีรักษานอกเหนือจากที่แพทย์แนะนำ ควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจว่าเป็นวิธีรักษาที่ได้ผลจริง และไม่สิ้นเปลืองเกินจำเป็น

ถ้ารู้สึกน่าเกลียดหรือมีปมด้อย แนะนำให้ใส่ผมปลอม (วิก) ทอผม หรือผ่าตัดปลูกถ่ายผม

6
ไหว้พระ ทำบุญ วัดปัญญานันทาราม วัดสวย ปทุมธานี กับ เจดีย์พุทธคยา อันงดงาม

ใครที่กำลังหาสถานที่ท่องเที่ยวภาคกลาง ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ อยู่แล้วล่ะก็ ขอให้แวะมาเที่ยว วัดสวย ของ ปทุมธานี กันที่ วัดปัญญานันทาราม เลยค่ะ เพราะวัดนี้เป็นวัดที่สวยไม่เหมือนใคร มุมถ่ายรูปเยอะมากๆ และที่สำคัญยังสอนคติธรรมต่างๆ ผ่านรูปภาพ 3 มิติอีกด้วยน้า สงสัยกันใช่ไหมล่ะ ว่าจะเป็นยังไง ถ้าอย่างงั้นก็ต้องตามเรามาชมเลยค่า

ประวัติ วัดปัญญานันทาราม

     วัดปัญญานันทาราม ตั้งอยู่ในบริเวณ ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นวัดชื่อดัง และสร้างขึ้นโดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เพื่อให้เป็นมรดกธรรมและสถานที่ปฏิบัติธรรม โดยมี เจดีย์พุทธคยา เป็นไฮไลท์ ซึ่งจำลองแบบมาจากประเทศอินเดียอีกทีค่ะ

     ตัวของเจดีย์พุทธคยาจำลองนั้น จะเป็นสีเทา มีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงกลาง ชั้นบนของเจดีย์จะเรียกว่า ชั้นพุทธเมตตา ตรงกลางเจดีย์จะมีรูปหล่อของหลวงพ่อปัญญาประดิษฐานอยู่ด้านหน้าให้ได้กราบไหว้กันค่ะ รวมไปถึง วัดปัญญานันทาราม แห่งนี้ ยังมี ภาพปริศนาธรรมแบบ 3 มิติ ที่มีที่เดียวในโลกเท่านั้น ซึ่งอยู่ด้านล่างของเจดีย์พุทธคยา ที่เรียกว่า ชั้นพุทธบารมี

     เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ด้วยค่ะ ในแต่ละภาพก็ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะมีความหมายแฝงไปด้วยคติธรรมสอนใจในเรื่องของอริยสัจ 4 ค่ะ โดยจะมีภาพวาดทั้งหมด  29 ภาพ แต่ละภาพจะชวนให้คิดและตระหนักถึงหลักธรรมคำสอน แบบเพลิดเพลิน สนุกสนาน และไม่น่าเบื่อเลยค่ะ ซึ่งทุกภาพนั้นจะมีคำอธิบายทางธรรมอยู่ทุกรูปค่ะ

     นอกจากการมาเดินชมวัดสวยๆ แล้ว วัดปัญญานันทาราม ยังเป็นวัดสำหรับปฏิบัติธรรมอีกด้วย สามารถมาศึกษาธรรมะ สวดมนต์ภาวนาบริหารกายบริหารจิตใจ หรือปฏิบัติธรรมรักษาศีล 8 ได้อีกด้วยค่ะ เพราะบรรยากาศจะค่อนข้างร่มรื่นเหมาะกับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมมากๆ เลย นอกจากนี้ทางวัดยังมีกิจกรรมให้ พุทธศาสนิกชนได้เข้ามาร่วม ทั้งประเพณีต่างๆ หรือการบวชเนกขัมมะ ทุกวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันสำคัญทางศาสนาอีกด้วยค่ะ

     รวมถึงภายในบริเวณ วัดปัญญานันทาราม ยังมีสวนย่อมขนาดเล็กๆ มีซุ้มประตูอิฐแดงแบบอินเดีย มีลวดลายปูนปั้นสวยงามมากๆ เป็นอีกจุดถ่ายรูปมุมนึง ที่ต้องมาเก็บภาพสวยๆ กลับไปกันค่ะ เป็นวัดที่สอนคติธรรมในแบบใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ สามารถทำให้คนเข้าถึงวัดได้แบบสนุกสนานและสวยงาม ที่สำคัญยังได้เรียนรู้ธรรมะต่างๆ กลับมาอีกด้วย ใครมีเวลาว่างๆ ก็แวะไปที่วัดนี้กันได้เลยนะคะ

    ที่อยู่ : ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.00 น.

7
บริหารจัดการอาคาร: ขจัดคราบน้ำมันในห้องครัว

เรื่องความสะอาดภายในบ้านของเรา เป็นสิ่งที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่เราต้องอยู่อาศัยทุกวัน ถ้าปล่อยให้บ้านมีความสกปรก ไม่เช็ดถูทำความสะอาด อาจจะส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้านได้ แถมยังทำให้บรรยากาศภายในบ้านไม่ดีด้วย โดยในบ้านของเรานั้น ก็มีบริเวณที่เป็นจุดสำคัญที่สกปรกได้ง่าย นั่นก็คือ “ห้องครัว”เพราะเป็นบริเวณที่เกิดคราบสกปรกได้ง่าย แถมยังเป็นต้นเหตุของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ภายในบ้านด้วย ที่อาจจะเกิดจากการทำอาหาร

แต่ที่สุดของคราบในห้องครัวก็คือ คราบน้ำมัน ที่สร้างความปวดหัวอยู่บ่อย ๆให้กับแม่บ้านหลายคน  เพราะเป็นคราบสกปรก ซึ่งเกิดจากไอน้ำมันเวลาที่เราทำอาหาร จึงทำให้กระจายอยู่ทั่วห้องครัวได้ง่ายและยังทำให้เกิดกลิ่นที่น่าปวดหันอีกด้วย อย่างไรก็ตาม คราบมันไม่ได้ทำให้ห้องครัวดูสกปรกเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค อีกทั้งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะคราบมันบนพื้น ซึ่งบางครั้งก็ปล่อยทิ้งไว้นานจนกลายเป็นคราบมันที่ฝังแน่นจนขัดออกยาก ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีกำจัดคราบน้ำมันในห้องครัว ด้วยวิธีที่ง่ายมากๆ ช่วยให้แม่บ้าน ไม่ต้องออกแรงเยอะ ถูเบาๆ ก็สะอาดแล้ว ด้วยของใช้ที่อยู่ในครัวของเรา

สำหรับวิธีการกำจัดคราบน้ำมัน สามารถทำได้ด้วยหลากหลายวิธี วิธีแรกก็คือ การใใช้น้ำส้มสายชู ด้วยความมีฤทธิ์เป็นกรดของ น้ำส้มสายชู จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขจัดคราบมันและไขมันต่าง ๆ ที่อยู่ตามพื้นและผนังในห้องครัว ที่สำคัญยังช่วยฆ่าเชื้อโรคและดับกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างกลิ่นน้ำมันอันเหม็นหืนได้อีกด้วย โดยวิธีการใช้น้ำส้มสายชูก็ง่ายมาก เพียงฉีดน้ำส้มสายชูลงบนคราบโดยตรง จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดทำความสะอาดทับอีกรอบ เพียงเท่านี้จะเห็นเลยว่าคราบมันต่าง ๆ หายไปแน่นอน หรือบางครั้งคราบน้ำมันอาจจะกระเด็นไปที่ตู้ไม้ที่เก็บของภายในครัว ซึ่งก็มีวิธีที่จะมาแนะนำที่ง่ายก็คือ การใช้เกลือ เบคกิ้งโซดา น้ำอุ่น ฟองน้ำ ผ้าเช็ดแห้ง แต่ถ้าบริเวณตู้ไม้ยังมีหยดของน้ำมันอยู่ ให้โรยเกลือลงไปบริเวณนั้น แล้วทิ้งไว้ซักพัก เกลือจะช่วยดูดความชื้นและน้ำมันทั้งหมดออกมา

แต่ถ้าเป็นคราบที่ฝังลงไปในเนื้อไม้ ให้ใช้เบคกิ้งโซดาผสมกับน้ำอุ่น แล้วใช้ฟองน้ำจุ่มลงไปเพื่อนำมาเช็ดบริเวณที่เป็นคราบ เมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้วให้รีบเช็ดด้วยผ้าแห้งทันที เพราะเมื่อวัสดุที่เป็นไม้ได้รับความชื้นจะทำให้ไม้บวม หรือขึ้นราได้ ต่อมาคือใช้น้ำร้อน ในการล้างคราบมันตามจุดต่าง ๆ ในห้องครัวหรือวิธีล้างคราบน้ำมันติดเครื่องดูดควันที่ง่ายที่สุด โดยใช้น้ำร้อน เพราะแค่ใช้ผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาด ๆ แล้วเอาไปเช็ดบริเวณที่มีรอยน้ำมันเกาะ คราบก็จะค่อย ๆ จางหายไปภายอย่างรวดเร็ว แต่ว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับล้างคราบน้ำมันที่เกิดขึ้นไม่นานมาก เพราะคราบจะยังไม่ฝังตัวลึก อยู่ในจุดที่น้ำร้อนยังสามารถทำความสะอาดได้ แถมยังไม่ทำให้พื้นผิวลื่นด้วย ต่อมาคือการใช้ผงซักฟอก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีขจัดคราบมันในครัว คือการใช้ผงซักฟอก

เพราะผงซักฟอกสามารถล้างคราบน้ำมันได้ทั้งบริเวณพื้น เตา เครื่องดูดควัน และเครื่องครัวต่าง ๆ โดยนำผงซักฟอกไปผสมกับน้ำอุ่น แล้วหยิบผ้ามาชุบ ก่อนจะนำไปเช็ดคราบต่าง ๆ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คราบน้ำมันหลุดออกอย่างง่ายดาย เนื่องจากผงซักฟอกมีคุณสมบัติกำจัดสิ่งสกปรกอยู่แล้ว แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย สามารถช่วยดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในห้องครัวได้อีกด้วย และสุดท้ายก็มีอีกวิธีหนึ่งที่อาจจะดูแปลก แต่คอนเฟิร์มว่าสามารถกำจัดคราบมันได้ นั่นก็คือ น้ำมันพืช วิธีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าใช้น้ำมันพืช จะไม่ยิ่งเพิ่มความมันเข้าไปอีกหรือ บอกเลยว่าเข้าใจไม่ผิดแน่นอนเพราะวิธีการใช้น้ำมันขจัดน้ำมัน ก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน ซึ่งวิธีก็คือ ใช้ผ้าขนหนูกระดาษชุบน้ำมันพืช จากนั้นนำไปถูบริเวณที่เป็นคราบน้ำมันหรือไขมันตามห้องครัว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คราบมัน เหนียว ที่ติดฝังแน่นหลุดออกง่ายยิ่งขึ้น เสร็จแล้วเราค่อยใช้สเปรย์ทำความสะอาดฉีดตรงบริเวณนั้น แล้วเช็ดออกให้เรียบร้อยอีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็สามารถกำจัดคราบน้ำมันออกไปได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ทางเรา อยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ทางเรามีบริการทำความสะอาดบ้าน หรือภายในอาคารต่างๆ รวมไปถึงยังมีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างสรรพสินค้า เพราะเราห่วงใยและใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรกเสมอ


8
พาลูกน้อยเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์จัดฟันเด็ก ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ถือว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะละเลยในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของฟันของลูกน้อย เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี นอกจากนี้ พ่อแม่ควรที่จะปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง รวมไปถึง แนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากและฟันด้วย เพราะเด็กส่วนใหญ่ชื่นชอบการรับประทานอาหารที่มีความหวานหรือแม้กระทั่ง ขนมลูกอมต่างๆ รวมไปถึง น้ำอัดลม ซึ่งต้องบอกว่าอาหารเหล่านี้ เป็นศัตรูกับฟันของเราเลยทีเดียว


เพราะเนื่องจากมีน้ำตาลผสมเป็นจำนวนมากและน้ำตาลนั้น จะส่งผลทำให้เกิดคราบหินปูนและทำให้ฟันของเด็กผุได้ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสอดส่องดูแลและช่วยสังเกตพฤติกรรมของเด็กว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง เพราะไม่ฉะนั้น หากปล่อยประละเลยเด็กอาจจะมีฟันผุก่อนวัยอันควรได้ ผู้ปกครอง ไม่ควรมองว่าฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่มีประโยชน์และไม่มีความจำเป็นหรือคิดว่าต่อไปอาจจะมีฟันแท้งอกขึ้นมาแทนที่ จึงปล่อยประละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก แต่หารู้ไม่ว่าฟันน้ำนมนั้นส่งผลกระทบต่อการขึ้นของฟันแท้ ยิ่งถ้าหากฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควรก็อาจจะทำให้ฟันแท้ขึ้นมาอย่างผิดปกติได้ อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันและต้องเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก


สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้าตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ตั้งแต่ 4-15 ปี เพราะเด็กในช่วงนี้กำลังมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าตอนวัยรุ่น ยิ่งเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดขวดนม ดูดนิ้วซึ่ง จะทำให้เกิดปัญหาฟันได้ง่าย ควรที่จะเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กนั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมที่มีการพัฒนาไปมากกว่าแต่ก่อน จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร


วันนี้คลินิกของเรามีคำตอบมาฝาก แล้วจะพูดถึงการเตรียมตัวพาลูกน้อยเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน สำหรับการเตรียมตัวที่จะเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพูดและทำความเข้าใจกับเด็ก เพื่อให้เด็กได้ทราบว่าปัญหาฟันส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กได้ตระหนักรู้ และเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปากและฟันสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองพูดและสร้างความเข้าใจให้กับเด็กแล้วก็สามารถพาเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันได้ ซึ่งในขณะที่เด็กเข้าพบทันตแพทย์ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้าพูดคุยร่วมกับทันตแพทย์ได้เพื่อตัดสินใจและเพื่อทราบปัญหาที่แท้จริงของเด็กว่า เด็กมีปัญหาฟันในเรื่องใดและทันตแพทย์จะทำการแก้ไขด้วยวิธีใด เพื่อให้ทราบและจะได้สร้างความเข้าใจให้กับเด็กก่อนว่า ทำไมเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันเพื่อที่จะได้ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ถูกต้องตามที่ทันตแพทย์แนะนำ


สำหรับ พ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนานจึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องและสามารถแนะนำให้เข้ารับการรักษาให้เข้ากับปัญหาฟันของเด็ก นอกจากนี้ทันตแพทย์ของเรายินดีให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้ดูแลรักษาความสะอาดฟันได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากเห็นเด็กๆทุกคน มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


9
ออล นิว ไทรทัน: Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 กระบะแค็บยกสูง ราคาเริ่ม 697,000 บาท

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 (มิตซูบิชิ ไทรทัน เมกา แค็บ พลัส 2022) รถกระบะอเนกประสงค์ ตัวถังตอนครึ่ง 2 ประตู แค็บเปิดได้ โดยสารได้ 2 ที่นั่ง พร้อมพื้นที่เก็บของภายในรถ รองรับการใช้งานได้หลายรูปแบบในราคาที่ไม่สูงนัก ซึ่งจะได้เครื่องยนต์กำลังสูงในทุกรุ่นย่อย มีสีตัวถังให้เลือก 5 สี

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 ดีไซน์ภายนอก

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 ตกแต่งภายนอกในสไตล์แข็งแกร่ง ดีไซน์ด้านหน้า Dynamic Shiled กระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่ พร้อมช่องดักอากาศ ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ Bi-LED พร้อมไฟวิ่งกลางวันแบบ LED กันชนหน้าตกแต่งด้วยแผ่นกันกระแทกสีดำ กันชนหลังสีดำ ไฟท้ายเป็น LED พร้อมไฟซิกเนเจอร์เรืองแสง Light Guide ล้ออัลลอยมีหลายขนาด ตั้งแต่ 16, 17 และ 18 นิ้ว ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย ด้านมิติตัวรถมีขนาดความยาว 5,290 มม. กว้าง 1,815 มม. สูง 1,795 มม. ฐานล้อยาว 3,000 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 205-220 มม.

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 ดีไซน์ภายใน

ภายในห้องโดยสารของ Mitsubishi Triton Mega Cab 2022 ตกแต่งด้วยโทนสีดำ โดยสารได้ 2 ที่นั่ง พร้อมพื้นที่เก็บของบริเวณแค็บหลังเบาะ บานแค็บเปิดได้ เบาะมีทั้งหุ้มด้วยผ้าและหนัง/หนังสังเคราะห์ (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยที่เลือก) ปรับระดับสูง-ต่ำได้เฉพาะฝั่งคนขับ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID, วิทยุ และระบบล็อกความเร็ว (Cruise Control) จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี 3D Animation เครื่องเล่นวิทยุ DVD MP3 หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เชื่อมต่อ Bluetooth แบบ A2DP ได้ มีช่องจ่ายไฟกระแสตรง 12 โวลต์ พร้อมช่องเสียบ USB บริเวณคอนโซลหน้า รวมถึงช่องเสียบ USB บริเวณคอนโซลกลาง 2 ตำแหน่ง ระบบปรับอากาศมีทั้งแบบธรรมดาและอัตโนมัติ

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 เครื่องยนต์และสมรรถนะ

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที เกียร์มีให้เลือกทั้งธรรมดาและอัตโนมัติ 6 สปีด ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 2 ล้อ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.3-14.1 กิโลเมตร/ลิตร (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย)
Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 เทคโนโลยีและความปลอดภัย

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 จะติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและดึงกลับอัตโนมัติ, กล้องมองภาพรอบคันและแสดงภาพมุมสูง, เบรก ABS พร้อมระบบกระจายและเสริมแรงเบรก, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA), ระบบควบคุมการทรงตัว (ASC) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและลื่นไถล (ATC)

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 มีกี่สี

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่

    สีขาว White Diamond (เพิ่ม 10,000 บาท)

    สีเงิน Sterling Silver

    สีเทา Graphite Gray

    สีดำ Jet Black Mica

    สีส้ม Sunflare Orange

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 ราคาจำหน่าย

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 วางจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่นย่อย

    Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 รุ่น 2.4 GLX 6MT ราคา 697,000 บาท

    Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 รุ่น 2.4 GLS 6MT ราคา 747,000 บาท

    Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 รุ่น 2.4 GT 6MT ราคา 807,000 บาท

    Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2022 รุ่น 2.4 GT 6AT ราคา 857,000 บาท


10
อาหารสุขภาพ ดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหาร Low GI เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน คนรักสุขภาพ

โรคเบาหวานประเภท 2 เป็นภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงเกินระดับปกติ ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายจะมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนหลั่งออกมา มีหน้าที่ในการดูดซึมน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน) หากร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หมายความว่าเซลล์จะไม่สามารถดูดซึมกลูโคสหรือโมเลกุลน้ำตาลได้ ผลที่ได้คือคุณยังอาจรู้สึกหิวหลังจากรับประทานอาหารครบมื้อแล้ว ซึ่งสาเหตุนี้จะนำไปสู่การกินที่มากเกินไป กระตุ้นให้เกิดการผลิตอินซูลินส่วนเกินและเกิดการสะสมน้ำตาลในกระแสเลือดมากขึ้น หากคุณเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 การบริโภคอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล หรือ GI สูง อาจทำให้อาการของคุณแย่ลงไปอีก

ดัชนีน้ำตาลคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญ?

     ดัชนีน้ำตาล (GI) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถเลือกอาหารที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น เป็นตัวเลขที่จัดสรรให้กับอาหารเพื่อระบุว่าอาหารจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้รวดเร็วแค่ไหนหลังการบริโภค

     ค่า GI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 อาหารที่มีค่า GI ต่ำจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ และอาหารที่มีค่า GI สูงจะเพิ่มน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว หากคุณเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และพยายามเลือกอาหารให้เหมาะสม ลองสังเกตว่าอาหารชนิดไหนที่มีตัวเลข GI น้อยก็จะยิ่งปลอดภัยสำหรับการบริโภค
9 อาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหาร Low GI

1. ผัก

ผัก มะระ อาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหาร Low GI ดัชนีน้ำตาล โรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือด

:  มะระ, ผักขม, ผักคะน้า, ผักร็อกเก็ต, ผักกาดหอม, บวบ, หัวไชเท้า, กระหล่ำปลี, มะเขือเทศ, แตงกวา, พริกหยวก, มะเขือยาว, รูบาร์บ, ถั่วเขียว, กะหล่ำดาว, บรอกโคลี, กะหล่ำปลี, กะหล่ำปลีสีม่วง, ขึ้นฉ่าย, กะหล่ำดอก, ผักกวางตุ้ง, หัวหอม, ต้นหอม, ยี่หร่า และกุ้ยช่าย


2. ผลไม้

:  แอปเปิ้ล, แตงไทย, กล้วย (ขนาดกลาง), อะโวคาโด, กีวี, มะนาว, เลมอน, ส้ม, เกรฟฟรุต, ส้มเขียวหวาน, ลูกแพร์, พลัม, สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ และกูสเบอร์รี่


3. ธัญพืช

:  ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวสาลีหัก ข้าวฟ่าง ผักโขม ควินัว ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ขนมปังโฮลวีต และพาสต้าข้าวสาลี


4. โปรตีน

โปรตีน อาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหาร Low GI ดัชนีน้ำตาล โรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือด

:  อกไก่ลอกหนัง ปลาที่มีไขมันตามธรรมชาติ ไข่ ถั่ว ถั่วงอก เห็ด ถั่วเหลือง และเต้าหู้


5. ผลิตภัณฑ์จากนม

:  นมไขมันต่ำ ริคอตต้าชีส โยเกิร์ตรสธรรมชาติ บัตเตอร์มิลค์ และคอทเทจชีส


6. ถั่วและเมล็ดพืช

ถั่วและเมล็ดพืช อาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหาร Low GI ดัชนีน้ำตาล โรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือด

:  อัลมอนด์ วอลนัท พิสตาชิโอในเปลือก ถั่วสนและแมคคาเดเมีย เมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟลกซ์ และเมล็ดแตงโม


7. ไขมัน

:  น้ำมันมะกอก, อะโวคาโด, น้ำมันรำข้าว, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันอัลมอนด์และเนยถั่วแบบไม่ผสมน้ำตาล


8. สมุนไพรและเครื่องเทศ

:  ออริกาโน, โรสแมรี่, ไธม์, ผักชี, ผักชีฝรั่ง, โป๊ยกั้ก, กระวาน, อบเชย, กานพลู, ขิง, กระเทียม, ยี่หร่า, พริกไทยดำและขาว, หญ้าฝรั่น, ลูกจันทน์เทศ, ผักชี, ขมิ้นและพริกป่น

9. เครื่องดื่ม

: น้ำ, น้ำผัก, ชาและกาแฟที่ไม่มีน้ำตาลและครีม


11
มอเตอร์เอ็กซ์โปร์ 2024: ศึกสายเลือด Zeekr X vs Volvo EX30 แพลตฟอร์มเดียวกัน เลือกคันไหนดี?

Zeekr X พรีเมียมคอมแพ็คเอสยูวีไฟฟ้าที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ เทียบกับ Volvo EX30 รถเซกเมนต์เดียวกัน พื้นฐานแพลตฟอร์มจาก Geely เหมือนกัน ขุมพลังใกล้เคียงกัน ต่างกันที่แนวทางการออกแบบและราคา มาดูกันว่าคันไหนจะน่าสนใจมากกว่ากัน
 
แพลทฟอร์มเดียวกัน แต่ต่างกันหลายอย่าง
 
Zeekr X เปิดราคาในบ้านเราเป็นที่เรียบร้อย ในราคา 1.199 - 1.349 ล้านบาท โดย Zeekr เป็นแบรนด์ลูกที่อยู่ภายใต้เครือ Geely ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของจีน เน้นกลุ่มตลาดพรีเมียม มาพร้อมแพลทฟอร์มอีวี Sustainable Experience Architecture (SEA) ที่ Geely พัฒนาด้วยตนเอง
 
Volvo EX30 เปิดจำหน่ายในบ้านเราด้วยราคา 1.59 - 1.89 ล้านบาท EX30 ถือเป็นพรีเมียมคอมแพ็คเอสยูวีไฟฟ้าเหมือน Zeekr X แถมยังใช้แพลตฟอร์มร่วมกัน จึงถือว่าเป็นคู่แข่งโดยตรง แม้จะมาจากเครือบริษัทเดียวกัน โดย Volvo มีราคาสูงกว่า Zeekr อยู่ไม่น้อย
 
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคันนี้มีข้อแตกต่างกันอยู่หลายประการ ตั้งแต่แนวคิดของการออกแบบ มิติตัวถัง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาดูกันว่าคันไหนจะเหมาะกับคุณมากกว่ากัน
 
เทียบมิติตัวถัง Zeekr X VS Volvo EX30

                    Zeekr X   Volvo EX30
ความยาว (มม.)   4,432   4,233
ความกว้าง (มม.)   1,836   1,837
คาวมสูง (มม.)   1,566   1,549
ระยะฐานล้อ (มม.)   2,750   2,650
 
จะเห็นได้ว่า Zeekr X ใหญ่กว่าเกือบทุกมิติ รวมถึงมีระยะฐานล้อที่มากกว่า เมื่อลองนั่งเปรียบเทียบกันพบว่า Zeekr มีห้องโดยสารภายในที่กว้างกว่า ส่วน Volvo EX30 จะมีขนาดกะทัดรัดกว่า ทำให้ขับขี่ได้คล่องตัวมากกว่า

 
ดีไซน์ภายนอก Zeekr X
 
Zeekr X ออกแบบภายใต้ปรัชญาในความงดงามของนวัตกรรม ความหรูหรา และความยั่งยืน โดยเปรียบรถคันนี้เหมือนสายฟ้าที่เปลี่ยนนิยามใหม่ของการขับขี่ ออกมาเป็นเส้นสายแบบสแกนดิเนเวียน ผสมผสานเส้นสายที่สะอาดและความหรูหราที่โปร่งโล่ง โดยเน้นที่การใช้งาน
 
รถคันนี้มาพร้อมไฟหน้าและเดย์ไลท์แบบ LED ดีไซน์เอกลักษณ์ของ ZEEKR ไฟท้ายแบบ LED พร้อมสัญลักษณ์ ZEEKR แบบสามมิติกระจกมองข้างแบบไร้กรอบ, ที่จับประตูแบบ Hidden Capacitive Sensing Door Handles, ช่องชาร์จไฟที่เรียบสนิทไปกับตัวรถ, ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วในรุ่น Standard และล้ออัลลอย Forged Wheel ขนาด 20 นิ้ว ในรุ่น Flagship
 
ดีไซน์ภายนอก Volvo EX30
 
Volvo EX30 มาพร้อมแนวคิด “เล็ก แต่ทรงพลัง” โดยถึงแม้ตัวรถจะเป็นเอสยูวีขนาดเล็ก แต่ก็มีทุกอย่างครบครัน มีการออกแบบให้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำที่สุด แต่ยังคงเทคโนโลยีล้ำสมัยและการออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย
 
 
EX30 มีหน้าตาที่ดูสะอาด กระจังหน้าแบบปิด ไฟหน้าพร้อม DRL ทรงค้อนทอร์แบบ LED มีสีภายนอกให้เลือกถึง 5 สี ด้านท้ายมาพร้อม LED เป็นแบบแยกส่วน แต่ยังคงเอกลักษณ์เป็นไฟแนวตั้งยาวขึ้นไปถึงเสาด้านบน ไฟท้ายส่วนล่างเป็นรูปตัว C ที่เชื่อมต่อกันทั้งสองฝั่งพร้อมโลโก้ตัวอักษร V-O-L-V-O อยู่ตรงกลาง
 
เทียบภายใน และระบบความปลอดภัย Zeekr X VS Volvo EX30
 
ภายใน Zeekr X
 
การออกแบบภายในมีความพิถีพิถัน ใช้วัสดุคุณภาพสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดีไซน์เรียบง่าย เน้นการใช้งาน มีห้องโดยสาร Intelligent Cockpit ประกอบด้วยมาตรวัดดิจิทัล 8.8 นิ้ว หน้าจอกลางขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 8155 เพื่อรองรับการประมวลผลอย่างรวดเร็ว, AR-HUD, ห้องโดยสารตกแต่งด้วยสี  Rose Gold มีหลังคากระจกพาโนรามาขนาด 1.21 ตร.ม.
 
ออพชั่นภายในที่น่าสนใจอื่น ๆ ได้แก่ ไฟห้องโดยสารที่ประกอบด้วยไฟทรงเหลี่ยมเรียงกัน 17 จุด,  ระบบ Lightning Switch Intelligent AWD System ปรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อภายในเสี้ยววินาที, ระบบเสียงจาก Yamaha ลำโพง 13 ตำแหน่ง(เฉพาะรุ่น Flagship), กล้อง 360 องศา
 
สำหรับความปลอดภัยของ Zeekr X เริ่มที่โครงสร้าง SEA ที่ช่วยด้านการขับขี่ สมรรถนะ และลดเสียงรบกวน รวมถึงออกแบบคานกันชนด้านข้างให้แข็งแรง รองรับน้ำหนักถึง 65 ตัน และมีถุงลมนิรภัยถึง 7 ตำแหน่ง ป้องกันผู้โดยสารได้ 360 องศา
 
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง (ZEEKR Advanced Driving Assistance System – ZEEKR AD) ประกอบด้วยด้วยกล้องความละเอียดสูง 5 ตัว เรดาร์ความยาวคลื่น 5 มิลลิเมตร และ เรดาร์อัลตราโซนิค 12 ตัว ทำให้ตัวรถรองรับระบบ ADAS พื้นฐานได้ครบครัน เช่น Adaptive Cruise control, ระบบช่วยให้อยู่ในเลน, Blind Spot Assist ฯลฯ
 
ซึ่งนอกจากระบบ ADAS ทั่วไปแล้ว ยังมีระบบที่น่าสนใจ ดังนี้
ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ ALC (Automatic Lane Change)
ระบบป้องกันการชนด้านหน้า-หลัง CMSF/CMSR (Collision Mitigation Support Front/Rear)
ระบบป้องกันการเปิดประตูชนคนเดินเท้า DOW (Door Open Warning)
ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินขณะจอด PEB (Parking Emergency Braking)
ระบบช่วยบังคับพวงมาลัยขณะเลี้ยวโค้ง EMA (Evasive Maneuver Assist)
ระบบช่วยจอดรถ APA (Automated Parking Assist)

 
ภายใน Volvo EX30
 
ดีไซน์ภายในของ EX30 คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก การตกแต่งและหุ้มเบาะหลายส่วนใช้วัสดุรีไซเคิล มีดีไซน์แบบสแกนดิเนเวียนที่สร้างความผ่อนคลายและสนุกสนานได้ในเวลาเดียวกัน สามารถปรับแต่งธีมการตกแต่งภายในด้วยไฟภายในห้องโดยสารได้ถึง 5 รูปแบบ โดยมีแรงบันดาลใจจากภูมิทัศน์ในแถบสแกนดิเนเวีย
 

ห้องโดยสารของ EX30 จะเป็นหน้าจอกลางแนวตั้ง 12.3 นิ้ว ใช้ระบบปฏิบัติการของ Google รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto สามารถอัพเดทซอฟท์แวร์แบบ OTA และมีช่องเก็บของพร้อมช่องชาร์จ USB-C ที่มีเพียงพอต่อความต้องการ ระบบปรับอากาศโซนเดียวพร้อมกรองอากาศ เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมปรับ Lumbar ได้ 4 ทิศทาง นอกจากนี้ยังมีซาวน์บาร์พร้อมระบบเสียงจาก Harman Kardon และโหมดการขับขี่แบบ One Pedal
 

ระบบความปลอดภัยของ EX30 เริ่มที่โครงสร้างนิรภัย Comfort Chasis, กล้อง 360, ถุงลมนิรภัยรอบคัน, รวมถึงรองรับ ISOFIX และระบบป้องกันการสะบัดลำคอ Whiplash injury protection system
 
จุดเด่นของ EX30 อยู่ที่ระบบความปลอดภัยแบบ Active Safety เพราะนอกจากระบบ ADAS ทั่วไป เช่น  Adaptive Cruise control, ระบบช่วยให้อยู่ในเลน, Blind Spot Assist ฯลฯ แล้ว ยังมีระบบที่น่าสนใจ ดังนี้
ระบบช่วยจอด Park Assist
ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Park Pliot Assist
ระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ Pilot Assist
ระบบบรรเทาการชนแบบสวนเลน
เซนเซอร์ตรวจจับผู้ขับขี่
ระบบป้องกันการเปิดประตูชนคนเดินเท้าและนักขับจักรยาน
ระบบหักหลบคนเดินเท้าและคนขี่จักรยาน
ระบบช่วยเตือน/รักษา/บังคับรถให้อยู่ในเลน
ระบบเบรคอัตโนมัติเมื่อวิ่งผ่านแยก
 
ความแตกต่างระหว่าง Zeekr X และ Volvo EX30 จะเป็นเรื่องแนวคิดของการออกแบบ Zeekr X เน้นที่ดีไซน์ความเรียบหรู เรียบง่าย ส่วน EX30 เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงความพรีเมียมเอาไว้ ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของทั้งสองคันถือว่าสูสี ให้ความสะดวกสบายได้ดีทั้งคู่
 
ส่วนระบบความปลอดภัยของทั้งสองคันนี้ไปในทิศทางเดียวกันทั้งแบบ Passive และ Active และจะเน้นให้ความปลอดภัยในเมืองเป็นหลัก
 

ขุมพลัง Zeekr X ประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้
 
รุ่น Standard ให้ขุมพลังมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า แรงบิด 343 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ 67 kWh ระยะทางขับขี่ 540 กม./ชาร์จ (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.6 วินาที
รุ่น Flagship ให้ขุมพลังมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 428 แรงม้า แรงบิด 543 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ 67 kWh ระยะทางการขับขี่ 470 กม./ชาร์จ (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที
สำหรับการชาร์จ Zeekr X สามารถชาร์จ AC ได้ที่ความเร็วสูงสุด 22 kW ชาร์จจาก 0-100% ได้ภายใน 4 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จ DC ได้ที่ความเร็วสูงสุด 150 kW สามารถชาร์จจาก 10-80% ภายใน 29 นาที อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้เป็นสเปคจากต่างประเทศ ส่วนสเปคไทยรอเผยแพร่อีกครั้ง
 

ขุมพลังของ EX30 ประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้
 
มอเตอร์เดี่ยว Single Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า แรงบิด 343 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ 69 kWh งไกลสุด 540 กม. (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.3 วินาที
มอเตอร์คู่ Twin Motor ขับเคลื่อน 4 ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดที่ 428 แรงม้า แรงบิด 543 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ 69 kWh วิ่งไกลสุด 520 กม. (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.6 วินาที
สำหรับการชาร์จ ทั้งสองรุ่นใช้หัวชาร์จ CCS Type 2 สามารถชาร์จ AC ที่ความเร็วสูงสุด 11 kW จาก 0-100% ได้เร็วสุด 8 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จเร็ว DC ที่ความเร็วสูงสุด 175 kW ชาร์จแบตเตอรี่ 10-80% ได้ภายใน 28 นาที
 
เมื่อเทียบขุมพลังของทั้งสองคันแล้ว พบว่าแทบจะเป็นฝาแฝดกันเลยก็ว่าได้ โดยมีตัวเลือกทั้งมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง และมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขึ้นอยู่ว่าจะเลือกแบบที่วิ่งได้ไกล หรืออยากได้เรี่ยวแรงมากกว่ากัน
 
ราคา Zeekr X VS Volvo EX30

Zeekr X Standard ราคา 1,199,000 บาท
Zeekr X Flagship ราคา 1,349,000 บาท
 
ราคา Volvo EX30
Volvo EX30 Core Single Motor ราคา 1,590,000 บาท
Volvo EX30 Ultra Single Motor ราคา 1,790,000 บาท
Volvo EX30 Ultra Twin Motor Performance 1,890,000 บาท
 

สรุป Zeekr X VS Volvo EX30
 
สำหรับ Zeekr X และ Volvo EX30 ต่างมีพื้นฐานบนแพลตฟอร์มเดียวกัน และเป็นรถเซกเมนต์เดียวกัน จึงไม่แปลกใจที่จะใช้ขุมพลังเดียวกัน สิ่งที่แตกต่างกันของทั้งสองคือแนวคิดของการออกแบบที่จะเน้นไปในแนวทางที่ไม่เหมือนกัน
 
ใครที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ใหม่ ดีไซน์ล้ำ ห้องโดยสารกว้างกว่า ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า คงต้องเลือก Zeekr X ส่วนใครชื่นชอบในแบรนด์ที่โดดเด่นด้านความปลอดภัย พร้อมดีไซน์สุดล้ำไม่แพ้กันก็เลือก Volvo EX30 ได้เลย

12
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ตาแห้ง (Dry eye)

ตาแห้ง หมายถึง ภาวะที่น้ำตาที่มาหล่อเลี้ยงดวงตาให้มีความชุ่มชื้นมีปริมาณไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการไม่สบายตา เช่น เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล ตามัว เป็นต้น

ภาวะนี้พบในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในคนอายุมากกว่า 50 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือน

ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากอายุมาก และการทำงานที่เกี่ยวกับสายตา ภาวะนี้มักสร้างความรำคาญ และมีผลต่อการใช้สายตาชั่วคราว แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย ส่วนน้อยอาจเกิดจากโรคประจำตัวบางชนิด

สาเหตุ

น้ำตาซึ่งทำหน้าที่หล่อลื่นผิวตาและป้องกันการติดเชื้อที่ผิวตา ประกอบไปด้วย (1) ไขมัน ซึ่งอยู่ชั้นบน ผลิตโดยต่อมไขมัน (meibomian gland) ที่เปลือกตา (2) น้ำ ซึ่งอยู่ชั้นกลาง ผลิตโดยต่อมน้ำตา (lacrimal gland) และ (3) เมือก ซึ่งอยู่ชั้นล่าง ผลิตโดยเยื่อตาขาวและกระจกตา หากส่วนประกอบในน้ำตามีปัญหา อาจทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ สาเหตุหลัก ๆ ของภาวะน้ำตาแห้ง ได้แก่

1. ต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาได้น้อยลง จากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ

    อายุ ยิ่งมีอายุมากขึ้น ยิ่งมีการผลิตน้ำตาน้อยลง ภาวะนี้จึงพบมากในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
    เพศ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิด ตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน
    การใช้ยาบางชนิดที่ทำให้น้ำตาลดลง เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูกหรือยาหดหลอดเลือด (decongestant) ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยากล่อมประสาท ยาต้านซึมเศร้า ยาเม็ดคุมกำเนิด ยารักษาสิว เป็นต้น
    โรคบางชนิด เช่น กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s syndrome)* ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี เบาหวาน ภาวะพิษจากไทรอยด์ (Graves’ disease) เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ ภาวะขาดวิตามินเอ ภาวะขาดโอเมกา-3
    กระจกตาได้รับการกระทบกระเทือน เช่น การผ่าตัดตาโดยวิธีเลสิก (Lasik) การใส่เลนส์สัมผัส (contact lens) มาเป็นระยะนาน ทำให้การรับรู้ความรู้สึกปวดลดลง ส่งผลให้ผลิตน้ำตาลดลง

2. น้ำตามีการระเหยมากกว่าปกติ จากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ   

    การสัมผัสถูกอากาศร้อน อากาศแห้ง ลมแรง ลมจากเครื่องปรับอากาศ ควันบุหรี่ เขม่าควัน
    ภาวะกะพริบตาน้อยครั้งกว่าปกติ เช่น การเพ่งมองอะไรนาน ๆ (เช่น การขับรถ การอ่านหนังสือ หรือการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน) ผู้ที่เป็นโรคพาร์กินสัน (ซึ่งมีการกะพริบตาน้อยครั้งกว่าคนปกติ)
    เปลือกตาผิดปกติ เช่น ภาวะเปลือกตาม้วนออก (ectropion) ภาวะเปลือกตาม้วนเข้า (entropion)
    ต่อมไขมันที่เปลือกตาผิดปกติ (meibomian gland dysfunction) เช่น ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน ต่อมไขมันที่เปลือกตาอักเสบ (ซึ่งพบในโรคเปลือกตาส่วนหลังอักเสบ หรือ posterior blepharitis) ทำให้ผลิตไขมัน (ซึ่งมาเคลือบส่วนผิวบนของน้ำตา) น้อยลง ทำให้น้ำตาระเหยมากกว่าปกติ
    สารกันเสียในยาหยอดตา
    ภาวะขาดวิตามินเอ

*กลุ่มอาการโจเกรน เป็นโรคภูมิต้านตนเอง (ออโตอิมมูน) ชนิดหนึ่ง ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบบ่อยในคนอายุมากกว่า 40 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาจพบร่วมกับโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ (เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี) พบว่าร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติไป ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำตาและต่อมน้ำลายอย่างเรื้อรัง ส่งผลให้มีน้ำตาและน้ำลายหลั่งน้อยลง ผู้ป่วยจะมีอาการตาแห้ง (รู้สึกแสบ คัน หรือระคายเคืองในดวงตา) และปากแห้ง (รู้สึกคล้ายมีสำลีอยู่ในปาก อาจทำให้มีปัญหาในการพูดหรือกลืนอาหาร) เป็นหลัก
นอกจากนี้อาจมีผลกระทบต่ออวัยวะอื่น ๆ ทำให้มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ช่องคลอดแห้ง ผิวหนังแห้งหรือมีผื่นขึ้น ต่อมน้ำลายบวม (โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าใบหูและหลังขากรรไกร) ข้ออักเสบ (ข้อบวม) ไอเรื้อรัง อ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้าอย่างเรื้อรัง เป็นต้น อาจมีภาวะแทรกซ้อน ที่พบบ่อย ได้แก่ ฟันผุ โรคเชื้อราในช่องปาก มีอาการผิดปกติทางตา (ไวต่อแสง ตาพร่ามัว กระจกตาเสียหาย) ที่พบได้น้อย เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ ตับแข็ง ไตเสื่อม ปลายประสาทอักเสบ (ชาปลายมือปลายเท้า) หลอดเลือดอักเสบ ภาวะขาดไทรอยด์ บางรายอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น
แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้โดยทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ ตรวจการทำหน้าที่ผลิตน้ำตาของตาและการผลิตน้ำลายของต่อมน้ำลาย การนำชิ้นเนื้อต่อมน้ำลายไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (biopsy) เป็นต้น
การรักษา ส่วนใหญ่แพทย์จะให้การรักษาเพื่อบรรเทาตามอาการ เช่น บรรเทาอาการตาแห้งด้วยน้ำตาเทียม หรือยาหยอดตาที่มีตัวยาต้านอักเสบเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำตา ในรายที่มีอาการตาแห้งมาก แพทย์อาจใช้วิธีการอุดท่อน้ำตา (punctal occlusion) โดยใช้อุปกรณ์ที่ทำจากซิลิโคน (silicone plug) เพื่อลดการระบายน้ำตาออกจากดวงตา ซึ่งช่วยให้มีน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตามากขึ้น, สำหรับอาการปากแห้ง ให้จิบน้ำบ่อย ๆ หากไม่ได้ผล แพทย์จะให้ยาเพิ่มการผลิตน้ำลาย (เช่น ยาเม็ด pilocarpine), ใช้โลชั่นทาผิวบรรเทาอาการผิวแห้ง, ใช้เจลปิโตรเลียมหรือลิปมันบรรเทาอาการริมฝีปากแห้ง, ให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์สำหรับอาการข้ออักเสบ, ให้ยาต้านเชื้อราในรายที่มีโรคเชื้อราในช่องปาก เป็นต้น
ในรายที่มีอาการมาก แพทย์จะให้ยาต้านอักเสบ ได้แก่ ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) บางรายอาจให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น เมโทเทรกเซต (methotrexate) เป็นต้น

อาการ

มีอาการแสบตา เคืองตา หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา ไม่สู้แสง (กลัวแสง) น้ำตาไหลบ่อย ตาพร่ามัว (แต่เมื่อกะพริบตา มองเห็นชัดขึ้น) บางรายอาจมีอาการตาล้า ปวดตา หรือปวดศีรษะร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น

    การติดเชื้อที่ตา (เนื่องจากขาดน้ำตาที่ป้องกันไม่ให้ตาติดเชื้อ) เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ กระจกตาอักเสบ
    ภาวะตาแห้งที่รุนแรงอาจทำให้เกิดแผลกระจกตา และสูญเสียการมองเห็น
    มีปัญหาในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา เช่น การอ่านหนังสือ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ การขับรถ เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจตาเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบน้ำตาไหล ตาแดง ขี้ตาเป็นเมือกเหนียว

บางรายจักษุแพทย์อาจทำการตรวจวัดปริมาณน้ำตา ส่วนประกอบ ความเข้มข้น และ/หรือคุณภาพของน้ำตาด้วยวิธีการต่าง ๆ

ในรายที่สงสัยว่ามีโรคอื่นที่เป็นสาเหตุของอาการตาแห้ง แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีอาการเล็กน้อย หรือชั่วครั้งชั่วคราว แพทย์จะให้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง แสบตา เคืองตา น้ำตาเทียมมีทั้งชนิดน้ำและชนิดเจล ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย


2. ในรายที่มีอาการมาก หรือเรื้อรัง หรือใช้น้ำตาเทียมไม่ได้ผล แพทย์จะให้การรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือใช้ร่วมกัน ดังนี้

    ให้ยากระตุ้นการสร้างน้ำตา เช่น ยาหยอดตาที่มีตัวยา diquafosol
    ในรายที่มีโรคเปลือกตาอักเสบ (ซึ่งทำให้เกิดการอุดกั้นไม่ให้ไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมันที่เปลือกตาไม่ให้ไหลไปเคลือบส่วนผิวบนน้ำตา) แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งมีชนิดทั้งยาหยอดตา ขี้ผึ้งป้ายตา หรือยารับประทานให้เลือกใช้) เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
    ในรายที่มีกระจกตาอักเสบ แพทย์จะให้ยาหยอดตาที่ตัวยาลดการอักเสบ เช่น ไซโคลสปอรีน (cyclosporine) หรือสเตียรอยด์ (สำหรับยาหยอดตาสเตียรอยด์ แพทย์จะใช้เพียงช่วงเวลาสั้น  ๆ เพราะการใช้เป็นเวลานานอาจเกิดผลข้างเคียงได้)
    สำหรับรายที่เป็นรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น ๆ แพทย์จะรักษาด้วยน้ำตาเซรั่ม (autologous blood serum drops) ซึ่งสกัดจากเลือดของผู้ป่วยเอง
    การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้เลนส์สัมผัส (contact lens) ชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า scleral lenses หรือ bandage lenses ซึ่งช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและปกป้องพื้นผิวของดวงตา, การอุดท่อน้ำตาแบบชั่วคราวด้วยอุปกรณ์ที่ทำจากซิลิโคน (silicone plug) หรือการอุดท่อน้ำตาแบบถาวรด้วยการจี้ด้วยความร้อน (thermal cautery) เพื่อไม่ให้น้ำตาระบายออกเร็ว, การประคบเปลือกตาด้วยน้ำอุ่นและการทำความสะอาดเปลือกตาเพื่อลดการอุดตันของต่อมไขมันที่เปลือกตา, การรักษาด้วยแสงความยาวคลื่นเฉพาะ (intense pulsed light treatment)     

3. ในรายที่ตรวจพบสาเหตุของภาวะตาแห้ง ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดจากการใช้ยา ก็จะปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม, ให้ยารักษาโรค (เช่น เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ โรคโจเกรน ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี เบาหวาน ภาวะพิษจากไทรอยด์), ทำการผ่าตัดแก้ไขภาวะเปลือกตาม้วนออก (ectropion) หรือภาวะเปลือกตาม้วนเข้า (entropion) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้อาการทุเลาได้ดี แต่ต้องให้ยาบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่อง

ในรายที่ตรวจพบโรคที่เป็นสาเหตุของตาแห้งก็จะสามารถควบคุมโรคและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี


การดูแลตนเอง

หากแพทย์เคยตรวจพบ หรือมีอาการที่สงสัยเป็นภาวะตาแห้งเล็กน้อย (เช่น มีอาการแสบตา เคืองตา หรือตาพร่ามัวเป็นครั้งคราวหลังใช้สายตาสักพัก เมื่อกะพริบตา มองเห็นชัดขึ้น) ควรดูแลตัวเอง ดังนี้

    ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา วันละ 3-4 ครั้ง
    ดื่มน้ำมาก ๆ
    ขณะอ่านหนังสือหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ให้หยุดพักสายตาและกะพริบตาบ่อย ๆ ถ้ามีอาการตาล้าร่วมด้วย ให้พักสายตาเป็นระยะ โดยพักสายตาทุก 20 นาที พัก (หรือหลับตา) นาน 20 วินาที
    หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ อากาศแห้ง อากาศร้อน ลมแรง
    เมื่อออกไปข้างนอก ให้สวมแว่นกันแดดเพื่อกันแสงแดดและกันลม
    ทำความสะอาดเปลือกตา และประคบเปลือกตาด้วยน้ำอุ่นตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยลดการอักเสบของเปลือกตา และลดการอุดตันของต่อมไขมันที่เปลือกตา (meibomian gland)
    ใช้เครื่องทำความชื้น ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศที่มีสภาพอากาศแห้งเพื่อลดอาการตาแห้ง

ควรไปพบแพทย์ ถ้าดูแลตนเองดังกล่าวข้างต้น 1-2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดตา ตาล้ามาก ตาพร่ามัวมาก ตาแดงจัด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือสงสัยว่าอาการตาแห้งอาจเกิดจากโรคบางชนิด เช่น กลุ่มอาการโจเกรน (มีอาการปากแห้งร่วมด้วย) เบาหวาน (มีอาการกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย) ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (มีอาการปวดตามข้อนิ้วมือนิ้วเท้า)  เป็นต้น

การป้องกัน

    งดสูบบุหรี่  และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ อากาศแห้ง อากาศร้อน ลมแรง
    เมื่อออกไปข้างนอก ให้สวมแว่นกันแดดเพื่อกันแสงแดดและกันลม
    ถอดเลนส์สัมผัส (คอนแทกต์เลนส์) เมื่อไม่ใช้งาน
    เมื่อใช้สายตาอ่านหนังสือ หรือใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ ให้กะพริบตาบ่อย ๆ และหมั่นพักสายตาและหลับตานาน 2-3 นาที เป็นครั้งคราว
    กินอาหารที่มีวิตามินเอและโอเมกา-3 สูง (วิตามินเอมีมากในตับ ไข่ นม มะเขือเทศ บรอกโคลี แครอต, โอเมกา-3 มีมากในปลา)

ข้อแนะนำ

1. อาการตาแห้ง แม้ว่าส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งสามารถดูแลตนเองได้ด้วยการใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำ แต่หากเป็นรุนแรงหรือปล่อยปละละเลย ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน จนสูญเสียการมองเห็นได้


2. ผู้ที่มีอาการตาแห้งเรื้อรังหรือดูแลตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาโรคที่เป็นสาเหตุ และให้การรักษาที่เหมาะสม




13
ขายรถป้ายแดง มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 PRIME 4WD ปี 2023 พร้อมส่วนลดและของแถมจัดเต็ม

มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 PRIME 4WD ปี 2023
MITSUBISHI TRITON DOUBLE 4WD PRIME ตัวถังดีไซน์ใหม่!เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่ ไฮเปอร์เพาเวอร์ กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ (184 PS) แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร เทอร์โบแปรผัน VG Turbo ช่วงล่างใหม่ พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่แบบ Sport ระบบ Super Select 4WD-II สำหรับรุ่น ดับเบิ้ล แค็บ และระบบ Easy Select 4WD สำหรับรุ่น ซิงเกิ้ล แค็บ ตรวจจับแรงบิดด้วยระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้าย (Limited Slip Differential: LSD) ช่วยกระจายกำลังด้วยอัตราส่วนร้อยละ 40 ที่ล้อหน้าและร้อยละ 60 ที่ล้อหลัง
 
เลือก 4 รูปแบบ 2H, 4H, 4HLc (ระบบล็อกเฟืองท้ายกลาง) และ 4LLc (ระบบล็อกเฟืองท้ายกลางอัตราทดความเร็วต่ำ) พร้อมโหมดการขับขี่ ใหม่! 7 โหมด Normal และแบบ Eco, Gravel, Snow, Mud, Sand และ Rock พร้อม Active Yaw Control: AYC ความปลอดภัยขั้นสุด Diamond Sense

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาพิเศษ  พร้อมส่วนลดและของแถมจัดเต็ม

โปรโมชั่นพิเศษ   
ตั้งแต่ 15 ก.ย. - 30 ธ.ค. 2567
ส่วนลด 150,000 สามารถนำมาเป็นเงินดาวน์เพื่อทำโปรฟรีดาวน์ได้
ราคาพิเศษ     798,000.-

สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Mitsubishi
   รุ่น                  มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 PRIME 4WD ปี 2023
   ประเภทรถ         รถกระบะ 4 ประตู
   ปีที่เปิดตัว          2023


สเปค
   เครื่องยนต์                เครื่องยนต์คลีนดีเซลไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power Engine) เทอร์โบแปรผัน VG Turbo กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)         2,442 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)      184 แรงม้า
   ระบบเกียร์                        เกียร์ธรรมดา 6MT
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS                 มี (EBD/BA)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง         ดีเซล, B7
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)         75 ลิตร
   ระบบจ่ายน้ำมัน                 คอมมอนแรล
   น้ำหนักตัวรถ                       -
   ประเภทยางรถยนต์                -
  ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                    ขับเคลื่อนสี่ล้อ Part Time (Super Select 4WD-II และ 7 โหมด ครอบคลุมการขับขี่ทั้งแบบออนโรด และแบบออฟโรด โหมดการขับขี่ Normal (ทั่วไป) และแบบ Eco (ประหยัด) Gravel (ทางลูกรัง) Snow (ถนนลื่น พื้นปกคลุมด้วยหิมะ หรือขณะฝนตกหนัก) Mud (ลุยโคลน) Sand (พื้นทราย) Rock (พื้นหินตะปุ่มตะป่ำ))



14
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



15
เครดิตไม่ดี! รีไฟแนนซ์บ้านยังไงให้ผ่านง่าย

การรีไฟแนนซ์บ้าน เป็นการย้ายไปขอสินเชื่อกับธนาคารใหม่ที่ให้ข้อเสนออัตราดอกเบี้ยถูกลงกว่าธนาคารเดิม โดยธนาคารจะใช้หลายๆ ปัจจัยประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และเรื่องของคะแนนเครดิตก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้ประกอบการพิจารณาค่ะ ซึ่งหากเป็นผู้ที่มีเครดิตไม่ดี การรีไฟแนนซ์บ้านอาจดูเป็นเรื่องยากสักหน่อย วันนี้เราจะพามาดูวิธีการ และเทคนิคที่จะช่วยให้การขอรีไฟแนนซ์บ้านสำหรับคนที่เครดิตไม่ดี ให้ผ่านได้ง่ายขึ้นมาฝากกันนะคะ
 
คะแนนเครดิตไม่ดี หมายถึง คนที่มีประวัติทางการเงินที่แสดงถึงความไม่สามารถจัดการหนี้สินได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายหนี้ล่าช้า การผิดนัดชำระหนี้ หรือการมีหนี้สะสมมากเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ ส่งผลให้คะแนนเครดิตต่ำหรือเครดิตไม่ดี โดยปกติคะแนนเครดิตจะถูกใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีความน่าเชื่อถือทางการเงินเพียงใด ซึ่งธนาคารหรือสถาบันการเงินจะตรวจสอบคะแนนเครดิตก่อนการอนุมัติสินเชื่อ หรือการให้บริการทางการเงินต่างๆ
 
คะแนนเครดิตไม่ดี ทำได้แบบนี้ รีไฟแนนซ์บ้าน ผ่านฉลุย

1. ปรับปรุงคะแนนเครดิต เข้าใจง่ายๆ เลยคือ ถ้าคะแนนเครดิตไม่ดี ก็ปรับปรุงให้ดีขึ้นเท่านั้นเองค่ะ โดยสามารถทำได้ตามขั้นตอน ดังนี้
 
ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ให้ตรงตามกำหนดเวลา
ลดจำนวนบัตรเครดิตที่เปิดใช้งาน และพยายามลดภาระหนี้สินที่มีอยู่
หลีกเลี่ยงการสมัครสินเชื่อใหม่ในช่วงที่กำลังเตรียมการรีไฟแนนซ์บ้าน
หมั่นเช็กเครดิตบูโร หรือตรวจสอบรายงานเครดิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หากพบข้อผิดพลาด หรือมีหนี้งอกโดยไม่รู้ตัว ให้รีบติดต่อแก้ไข

2. เลือกธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีเงื่อนไขยืดหยุ่น โดยบางธนาคารอาจมีการให้บริการสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่มีคะแนนเครดิตต่ำ เช่น สินเชื่อแก้หนี้ สินเชื่อฟื้นฟูเครดิตต่างๆ หรือสินเชื่อเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยอัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่าลูกค้าที่มีคะแนนเครดิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ก็จะช่วยเป็นอีกทางเลือกให้สามารถรีไฟแนนซ์บ้านผ่านได้ง่ายขึ้น และเมื่อคะแนนเครดิตดีขึ้นธนาคารอาจมีการขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต
 
3. หาผู้ค้ำประกัน หรือผู้กู้ร่วมที่มีเครดิตดี การหาผู้ค้ำประกันหรือผู้กู้ร่วมที่มีประวัติการเงินดี มีรายได้มั่นคง หนี้สินต่ำ และมีความน่าเชื่อถือ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การขอรีไฟแนนซ์บ้านผ่านได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ค้ำประกันหรือผู้กู้ร่วมสามารถช่วยให้ธนาคารมั่นใจได้ว่า สินเชื่อก้อนนี้จะมีผู้ที่พร้อมรับผิดชอบหนี้ หากเกิดกรณีที่ผู้กู้หลักไม่สามารถชำระหนี้ต่อได้
 
4. แสดงหลักฐานทางการเงินที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารแสดงรายได้ เช่น ใบแจ้งรายได้หรือสลิปเงินเดือนย้อนหลัง หรือเอกสารเกี่ยวกับการถือครองทรัพย์สินต่างๆ เช่น บ้าน ที่ดิน หรือเงินฝาก เพราะหากมีรายได้เพียงพอ หรือมีการถือครองทรัพย์สินที่มีมูลค่า ก็สามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับธนาคาร จนอาจมองเห็นโอกาสในการพิจารณาให้รีไฟแนนซ์ได้
 
5. ลดภาระหนี้อื่นๆ ก่อนการยื่นรีไฟแนนซ์บ้าน เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือทางการเงินให้กับผู้ขอสินเชื่อ  และช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติจากธนาคาร รวมถึงอาจจะช่วยให้เงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อจะดูมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดภาระหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้สินเชื่อบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง หรือการรวมหนี้ให้เหลือเพียงสินเชื่อเดียวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลง เพื่อให้สามารถจัดการหนี้ที่คงเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
สรุปแล้ว การรีไฟแนนซ์บ้านสำหรับผู้ที่มีเครดิตไม่ดีก็สามารถทำได้ แต่ควรมีการวางแผนอย่างดี และเตรียมความพร้อมในเรื่องเอกสาร มีการทบทวน และปรับปรุงเครดิตของตนเอง รวมถึงการเลือกธนาคารที่เหมาะสม นอกจากนี้การแสดงสถานะทางการเงินที่มั่นคง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรีไฟแนนซ์บ้านให้สำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้นค่ะ

หน้า: [1] 2 3 ... 28