แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 55
1
ควรระวัง ผลเสียกับผู้ป่วย ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานอาหารสายยาง

อย่างที่หลายๆท่านน่าจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า อาหารทางสายยาง หรืออาหารปั่นผสมนั้นในสมัยนี้ถือว่านิยมแพร่หลายมากๆ ในการนำมาใช้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกลืนอาหาร หรือรับประทานอาหารเองได้ แต่ระบบต่างๆในการย่อยอาหารยังคงสมบูรณ์เป็นปกติอยู่

ซึ่งอาหารปั่นผสมเหล่านี้มีสูตรต่างๆมากมายที่ถูกผลิตออกมาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละรายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะการขาดสารอาหาร เพราะอาจจะทำให้สุขภาพร่างกายของผู้ป่วยที่ท่านรัก แย่ลงไปด้วยนั่นเอง แต่อย่างที่ได้บอกกล่าวไว้ตลอดว่า การเลือกอาหารทางสายยาง ก็ควรจะต้องเกิดการศึกษาให้ดีและละเอียด หากว่าต้องการซื้อแบบสำเร็จรูปก็ควรเลือกบริษัท หรือผู้ผลิตรวมถึงโรงงานที่ได้มาตรฐานสากล และระบบความสะอาดต้องดีมากๆ เพราะสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อ

ก่อนที่จะเข้าเรื่องหลักเลย ด้วยความเป็นห่วงผู้ป่วยที่ต้องรับอาหารทางสายยางที่มีประโยชน์และคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย จึงอยากจะขอแนะนำบริษัทที่ให้บริการงานสนับสนุนต่างๆในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสากล งานทางด้านอาหารในกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำภายใต้มาตรฐานระดับโลก อีกทั้งยังเป็นบริษัทผลิตอาหารปั่นผสมที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ผลิตโดยทีมผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโภชนาการด้านอาหารโดยตรง

อีกหนึ่งเรื่องที่เรานั้นเป็นห่วงและย้ำเตือนอยู่เสมอนั่นก็คือผลเสียผลข้างเคียงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะให้อาหารทางสายยาง ซึ่งอยากให้ทุกท่านใส่ใจและเฝ้าระวัง เพราะถ้าพลาดอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ โดยรายละเอียดต่างๆมีดังต่อไปนี้


ระวังผลเสียที่ตามมา จากการให้อาหารทางสายยาง !

ต้องขอบอกก่อนเลยว่าการให้อาหารทางสายยางนั้นถือได้ว่าจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ แต่ระบบการย่อยต่างๆยังคงสมบูรณ์ ร่างกายยังต้องการที่จะได้รับสารอาหารต่างๆไม่ต่างจากคนปกติที่ไม่ได้ป่วย การให้อาหารทางสายยางจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในการให้อาหารผู้ป่วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การให้อาหารทางสายยางนั้นอาจจะส่งผลข้างเคียงต่างๆได้

ซึ่งในวันนี้จะลองพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถที่จะป้องกันได้หากใส่ในในรายละเอียด

ทั้งนี้สายยางที่ใช้ให้อาหารผู้ป่วยนั้น อาจจะไปทำให้เกิดการระคายเคืองที่รูเปิดของท่อปรับความดันของหูชั้นกลางได้ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของโพรงจมูก ซึ่งจะก่อให้เกิดหูอื้อ หรือก่อให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบได้

ถ้าหากว่าสังเกตดีๆในเคสที่ผู้ป่วยบางรายมีความรู้สึกว่ากลืนน้ำลายได้ไม่เป็นปกติ อาจจะเนื่องมาจากว่าสายยางนั้นอาจจะเข้าไปค้ำอยู่ในหลอดอาหาร ส่งผลทำให้อาหารในบางส่วนอาจจะย้อนกลับจากกระเพาะอาหารขึ้นมาที่บริเวณคอหอยได้

นอกจากสายยางแล้วที่ก่อให้เกิดความผิดปกติบางอย่าง พลาสเตอร์ที่ติดเพื่อยึดให้สายยางยึดติดกัน ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ดูแลต้องใส่ใจในรายละเอียดเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่หลายๆท่านมองข้าม สำคัญที่สุดคือผู้ที่ดูแลจำเป็นจะต้องเปลี่ยนพลาสเตอร์ชิ้นนี้ทุกวัน เพื่อเป็นหนึ่งในการสังเกตรอยกดทับระหว่างสายยางกับทางด้านของตำแหน่งที่ให้อาหาร หากผู้ดูแลพบเห็นความผิดปกติตรงส่วนนี้ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลโดยด่วน เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของสายยาง

หากว่ามีการให้อาหารสายยางบริเวณหน้าท้อง ที่ส่งตรงไปยังกระเพาะอาหาร ให้ผู้ดูแลหมั่นทำความสะอาดแผลบริเวณหน้าท้องทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้แผลของผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อ จึงอยากขอย้ำผู้ดูแลทุกท่านอีกครั้งว่า ควรสังเกตรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และดูผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพราะหากว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ทำการแก้ไขได้ในทันที เพื่อป้องกันผู้ป่วยจากอันตรายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้


เราจึงได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยด้วยความจริงใจ จึงหวังว่าผู้ดูแลผู้ป่วยทุกท่าน จะใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยในขณะรับประทานอาหาร

ท้ายที่สุดผู้ดูแลต้องคำนึงเสมอว่า ท่านคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบสุขภาพร่างกายของผู้ป่วย เพราะเหตุนี้เองเรื่องความสะอาดและถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านผู้ดูแลต้องคำนึงถึงอยู่เสมอในการดูแลผู้ป่วยนั่นเอง

2
Doctor At Home: หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute glomerulonephritis/AGN)

หน่วยไต (glomerulus) เป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ในเนื้อไต ทำหน้าที่กรองของเสียและน้ำออกมาเป็นปัสสาวะ เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นที่หน่วยไต ทำให้ร่างกายขับปัสสาวะออกได้น้อย มีของเสียคั่งอยู่ในเลือดมากกว่าปกติ รวมทั้งมีเม็ดเลือดแดงและสารไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการบวม และปัสสาวะออกมาเป็นสีแดง

หน่วยไตอักเสบ เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก พบได้ในคนทุกวัย อาจเป็นเรื้อรังหรือมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

โรคนี้มักเกิดตามหลังการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ (beta-hemolytic streptococcus group A) เช่น ทอนซิลอักเสบ แผลพุพอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ ไฟลามทุ่ง โดยภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นไปมีปฏิกิริยาต่อหน่วยไต ทำให้หน่วยไตเกิดการอักเสบ จัดว่าเป็นโรคภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่ง เรียกว่า หน่วยไตอักเสบเฉียบพลันหลังติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัส (poststreptococcal AGN) พบบ่อยในเด็กอายุ 5-10 ปี มักพบหลังติดเชื้อในคอ 1-2 สัปดาห์ และหลังติดเชื้อที่ผิวหนัง 3-4 สัปดาห์ อาจพบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าวที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

นอกจากนี้ยังอาจเกิดร่วมกับโรคเอสแอลอี ซิฟิลิส การแพ้สารเคมี (เช่น ตะกั่ว) การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์มากเกิน เป็นต้น


อาการ

มีไข้ ปวดศีรษะ มีอาการบวมที่หน้า หนังตา เท้า และท้อง อาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นปัสสาวะออกมาเป็นสีแดงเหมือนน้ำล้างเนื้อหรือน้ำหมาก และออกเป็นฟอง จำนวนปัสสาวะมักออกน้อยกว่าปกติ

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการปัสสาวะออกน้อยมาก หอบเหนื่อย หรือชัก


ภาวะแทรกซ้อน

ที่อาจพบได้ ได้แก่

    มีความดันโลหิตสูงมาก ๆ จนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรืออาการทางสมอง (เช่น ชัก ไม่ค่อยรู้สึกตัว)
    ภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ใช้เครื่องฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) มีอาการหอบเหนื่อย
    หน่วยไตอักเสบเรื้อรัง โรคไตเนโฟรติก ไตวายเรื้อรัง
    ภาวะไตวายเฉียบพลัน ซึ่งอาจร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

มักตรวจพบไข้ ความดันโลหิตสูง หน้าบวม หนังตาบวม เท้าบวมกดบุ๋ม ท้องบวม ปัสสาวะขุ่นแดง และตรวจพบสารไข่ขาว (albumin) ขนาด 1+ ถึง 3+

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะซึ่งจะพบเม็ดเลือดแดงเกาะกันเป็นแพ (red blood cell cast) และพบเม็ดเลือดขาวอยู่กันเดี่ยว ๆ หรือเกาะกันเป็นแพ

การตรวจเลือดอาจพบความผิดปกติต่าง ๆ เช่น สารบียูเอ็น (BUN) และครีอะตินีน (creatinine) สูง ซึ่งแสดงว่าไตขับของเสียไม่ได้เต็มที่

บางกรณีแพทย์อาจต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อไต (renal biopsy)


การรักษาโดยแพทย์

1. นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้ยาขับปัสสาวะ (เช่น ฟูโรซีไมด์) และยาลดความดัน
    ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ถ้าเป็นทอนซิลอักเสบ หรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน
    หลังจากรักษาจนอาการหายเป็นปกติแล้ว แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาติดตามอาการและตรวจปัสสาวะเป็นระยะ เพื่อเฝ้าดูว่ามีหน่วยไตอักเสบเรื้อรังเกิดตามมาหรือไม่

2. ถ้ามีอาการชักหรือหอบ หรือสงสัยมีภาวะไตวาย (เช่น ปัสสาวะออกน้อย ระดับบียูเอ็นและครีอะตินีนในเลือดสูง) หรือมีความดันโลหิตสูงรุนแรง จำเป็นต้องรับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล ทำการตรวจและรักษาภาวะที่พบ เช่น ให้ยาแก้ชัก ยาขับปัสสาวะ ล้างไต เป็นต้น
 

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม ส่วนใหญ่จะหายได้เป็นปกติ โดยอาการบวม ปัสสาวะสีแดง และความดันโลหิตสูงจะหายเป็นปกติใน 2-3 สัปดาห์ ส่วนการตรวจปัสสาวะ (ที่นำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ) จะพบสารไข่ขาว และจำนวนเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติอยู่นาน 6 เดือนถึง 1 ปี จึงจะกลับมาเป็นปกติ

ส่วนน้อย (ราวร้อยละ 2 ของหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันหลังติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัส) อาจกลายเป็นโรคหน่วยไตอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจกลายเป็นโรคไตเนโฟรติก และไตวายเรื้อรังตามมา

ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหรือเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการไข้ หน้าบวม หนังตาบวม เท้าบวม ปัสสาวะขุ่นแดง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด แม้ว่าอาการต่าง ๆ จะหายดีแล้ว แพทย์จะทำการตรวจปัสสาวะเป็นระยะจนกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี
    ควรพักผ่อนให้มาก ๆ
    งดอาหารเค็ม เพื่อลดอาการบวม
    ลดน้ำหนัก (ถ้าน้ำหนักเกิน) และงดบุหรี่
    ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ (ถ้าเป็นเบาหวาน)


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ถ้าเป็นทอนซิลอักเสบ แผลพุพอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ หรือไฟลามทุ่ง ควรกินยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์กำหนด

2. ป้องกันโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ เช่น ฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน คางทูม และตับอักเสบจากไวรัสบี ป้องกันโรคเอดส์และตับอักเสบ (ด้วยการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการฉีดสารเสพติดเข้าหลอดเลือดดำ) เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว ควรไปติดตามตรวจกับแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง นอกจากเฝ้าระวังดูโรคหน่วยไตอักเสบเรื้อรังที่อาจเกิดตามมาแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังดูโรคความดันโลหิตสูงและภาวะไตวายเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น

2. หน่วยไตอักเสบเรื้อรัง (chronic glomerulonephritis) นอกจากเป็นภาวะแทรกซ้อนของหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน และเกิดจากสาเหตุแบบเดียวกับหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันแล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง และเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ มะเร็ง การสูบบุหรี่มาเป็นระยะยาวนาน การสัมผัสสารไฮโดรคาร์บอน(เช่น ยาฆ่าแมลง น้ำมันเบนซิน สี กาว) ความผิดปกติทางพันธุกรรม เป็นต้น บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยจะมีอาการหน้าบวม เท้าบวม ปัสสาวะมาก ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด เลือดกำเดาไหลบ่อย อาจถ่ายปัสสาวะออกเป็นเลือด มักมีความดันโลหิตสูง ตรวจพบสารไข่ขาวและเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ บางรายอาจไม่มีอาการ โรคนี้มักเป็นเรื้อรังและอาจมีภาวะแทรกซ้อน (เช่น ทางเดินปัสสาวะติดเชื้ออักเสบบ่อย เป็นโรคติดเชื้อง่าย ไตวายเรื้อรัง หัวใจล้มเหลว) ควรไปตรวจรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางรายอาจจำเป็นต้องทำการล้างไตหรือปลูกถ่ายไต

3
จัดฟันบางนา: ตรวจสอบก่อนทำ อัตราความสำเร็จ ในการฝังรากฟันเทียม

ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกว่า “การฝังรากฟันเทียม” เป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างฟันเทียมทดแทนการสูญเสียฟันแท้ที่เสียไป โดยสมาคมทันตแพทย์ทั่วโลก ยกให้เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีด้านทันตกรรมที่โดดเด่นที่สุด และประสบความสำเร็จที่สุดทางด้านของนวัตกรรมทางทันตกรรม อย่างไม่มีใครคาใจ

แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังมีทางเลือกคล้ายกันในการทดแทนฟันแท้ตามธรรมชาติที่สูญเสียไปก็คือ การทำสะพานฟัน และ การใส่ฟันปลอม แต่การฝังรากฟันเทียมก็ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่สวยงามที่สุด และยังมีความสามารถในการทดแทนฟันแบบถาวรที่มีลักษณะเหมือนฟันจริงมากที่สุดอีกด้วย

ซึ่งในวันนี้จะมาขอไขข้อสงสัยที่หลายๆท่านได้ตั้งคำถามและอยากรู้เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ อัตราความสำเร็จของการฝังรากฟันเทียม มีมากน้อยเพียงใด เพื่อทำความรู้จักกับการฝังรากฟันเทียมแบบเชิงลึกให้มากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียดไว้ดังต่อไปนี้


อัตราความสำเร็จในการฝังรากฟันเทียม ?

จากการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องและเป็นทางการของ สมาคมศัลยแพทย์ช่องปากและใบหน้าขากรรไกร ประเทศสหรัฐอเมริกา (AAOMS) ได้กล่าวไว้อย่างน่าตกใจเกี่ยวกับอัตราความสำเร็จของการฝังรากฟันเทียมว่า ความสำเร็จในการฝังรากฟันเทียมนั้นจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของฟันเป็นสำคัญ โดยอัตราความสำเร็จโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 95% ในบุคคลธรรมดา แต่เนื่องจากว่าการฝังรากฟันเทียมนั้นจะต้องฝังลึกเข้าไปที่กระดูกขากรรไกร จึงไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางราย ซึ่งอัตราความสำเร็จก็จะลดน้อยลงไปด้วยในบุคคลบางกลุ่ม เช่น ในกลุ่มผู้ป่วยที่สูบบุหรี่เป็นประจำ กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยความเหมาะสมในการฝังรากฟันเทียมนั้น ทันตแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่ามีอัตราความสำเร็จมากน้อยเพียงใด และควรรับการรักษาด้วยวิธีการใดถึงจะเหมาะสมและดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย


ข้อดีของการทำรากฟันเทียม ?

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีว่าการทำรากฟันเทียมนั้นจะให้ความรู้สึกและรูปลักษณ์ที่เหมือนกับฟันจริงตามธรรมชาติมากๆ จึงทำให้ผู้ที่ทำการฝังรากฟันเทียมรู้สึกเกิดความมั่นใจมากกว่าการใส่ฟันปลอมประเภทอื่นๆ ซึ่งหลายๆท่านที่สูญเสียฟันหน้าไปมักเกิดความอายไม่มั่นใจส่งผลให้เสียบุคลิก แต่หลังจากทำการฝังรากฟันเทียมแล้วก็จะกลับมามั่นใจได้อีกครั้ง แต่นอกเหนือจากเหตุผลด้านความสวยงามแล้ว การใส่รากฟันเทียมจะทำให้คนไข้สามารถรับประทานอาหารได้สะดวกไม่กังวลเหมือนการใส่ฟันปลอมแบบอื่น เพราะ การใส่รากฟันเทียมนั้นติดแน่นไม่ต่างจากฟันจริงตามธรรมชาติเลย เพราะ เสาไทเทเนียมที่ยึดติดในส่วนลึกของกระดูกขากรรไกร ทำให้ไม่เกิดการเคลื่อนที่หรือหลุดออกได้ง่ายแบบฟันปลอมปกติทั่วไป และที่สำคัญเลยคือ ไม่มีผลกระทบต่อฟันรอบข้าง เพราะไม่ใช่การยึดติดที่ต้องให้ฟันรอบข้างมาช่วยเหลือในการค้ำฟันเหมือนการทำสะพานฟันอีกด้วย


การดูแลหลังการใส่รากฟันเทียมที่ถูกต้อง ?

ต้องขอบอกเลยว่าการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปาก คือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในการฝังรากฟันเทียม ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่า รากฟันเทียม มีอายุการใช้งานกี่ปี แต่โดยเฉลี่ยที่ได้ทำการศึกษาวิจัยแล้ว รากฟันเทียมสามารถมีอายุการใช้งานถึง 10 ปี อยู่ที่ค่าเฉลี่ยประมาณ 90% และ สามารถมีอายุการใช้งานได้ถึง 15 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80%

ซึ่งการดูแลรักษาหลังจากที่ได้ทำการใส่รากฟันเทียมแล้วนั้น ถือว่าง่ายกว่าฟันปลอมแบบชนิดอื่นๆ เพราะ ให้คิดไว้เลยว่ารากฟันเทียมที่สวมใส่อยู่ คือ ฟันจริงตามธรรมชาติ โดยให้ทำการดูแลแบบเดียวกัน คือ แปรงฟันให้ถูกต้องและสะอาดทั่วถึง วันละ 2 ครั้ง (ตื่นนอน – ก่อนนอน) และให้ทำการใช้ไหมขัดฟันทุกวันหลังจากแปรงฟันก่อนนอนเสร็จแล้ว พยายามไม่กัดของที่แข็งมากๆ เช่น น้ำแข็ง เศษหินเศษกรวดในข้าว กระดูกอ่อน เป็นต้น เพราะต่อให้ฟันที่แข็งแรงเพียงใด หากกัดสิ่งของที่แข็งก็จะเสื่อมสภาพได้ง่ายและโดยเร็วได้นั่นเอง

หลังจากที่ได้ทำการฝังรากฟันเทียมมาใหม่ๆ ประมาณ 1 เดือน ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีความแข็งและเหนียว ให้พยายามรับประทานของอ่อนๆ และที่สำคัญพบทันตแพทย์ให้ครบทุกครั้งที่มีการนัดหมาย รวมถึงตรวจสุขภาพช่องปากทุกๆ  6 เดือนเป็นอย่างน้อย เพียงเท่านี้ท่านจะหมดปัญหาในช่องปากเพิ่มขึ้นและยืดอายุของรากฟันเทียมได้อีกนาน

4
รถขนของไปต่างจังหวัด รถรับจ้างขนย้ายจริง ไม่มีหลอก เจ้าไหนบ้าง?

สร้างความมั่นใจกับรถรับจ้างที่จะไม่หลอกคุณ

ความมั่นใจที่เกิดขึ้น เมื่อเราใช้บริการ รถรับจ้าง เพื่อการขนย้ายของอะไรก็ตาม เช่น รถกระบะรับจ้างขนย้ายหอพัก รถ 6 ล้อรับจ้างขนย้ายบ้าน รถเฮียบรับจ้างยกเครื่องจักร รถ4ล้อรับจ้างย้ายคอนโด หรือ การให้บริการรถขนของอื่นๆอีกมากมาย เราจะกล้าแค่ไหนถ้าการใช้บริการรถรับจ้างขนของแต่ละครั้ง อาจจะต้องมีการมัดจำค่ารถขนของ รถรับจ้าง ก่อนที่จะไปวิ่งงาน หรือจ่ายค่าบริการในบางส่วน ก่อนขนย้ายของนั้นๆ เราจึงมีข้อคิดและการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับรถรับจ้างที่จะเกิดขึ้นจริง ไม่ชิ่งหนีเรา และทำให้เรามั่นใจมากยิ่งขึ้นในการจ้าง รถรับจ้างต่างๆเหล่านี้

รับจ้างขนของจริง ไม่ทิ้งกัน ได้แก่

    รถรับจ้างที่มีตัวตน เปิดเป็นห้าง ร้าน บริษัท
    มีที่อยู่หรือมีออฟฟิคเป็นหลักแหล่งที่แน่นอน
    บริการรับจ้างขนของมายาวนานไม่น้อยกว่า 10 ปี
    มีเว็บไซต์ และมีการรีวิวการให้บริการที่น่าเชื่อถือ
    รถรถขนของที่พร้อมบริการตลอดเวลา เช่น รถกระบะรับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง อื่นๆ

นี่เป็นเพียงบางส่วนที่เรามองว่าให้บริการจริงและบริการดี จากที่เคยสอบถามลูกค้าหลายๆท่านที่เคยมาใช้บริการรถรับจ้างของที่นี่ หรือจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับเราในข้อมูลเบื้องต้นกับเราได้ง่ายๆ

ไม่กังวลและรับจ้างขนของถึงที่ ส่งถึงที่
เราจะได้รับการบริการ รับจ้างขนของ อย่างสะดวกสบายเมื่อเราได้ทีมงานรถรับจ้างที่มรมาตรฐานและบริการี่เก่งมีประสบการณ์ จากที่เราได้กล่าวไว้ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถขนของไว้ให้ เราจึงมีความมั่นใจมากว่า รถรับจ้างขนของ ทั้ง 7 เจ้านี้ รับจ้างขนย้ายจริง ไม่มีโดนหลอกอย่างแน่นอน คุณสามารถวางใจได้เลย ไม่ว่าคุณจะมัดจำค่ารถรับจ้างหรือไม่มัดจำ เรามั่นใจว่าผู้ใหบริการต่างๆเหล่านี้จะขนย้ายของให้คุณได้อย่างแน่นอน วางใจได้

ขอบคุณทุกความคิดเห็นและกำลังใจที่ดี ที่จะทำให้เราได้ทำบทความดีๆมีคุณภาพแก่ผู้ใช้บริการรถรับจ้างขนของ ทุกคน หากท่านต้องการให้เราเขียนบทความรถรับจ้างเกี่ยวกับอะไร สามารถแนะนำหรือ comment เข้ามาได้เลย เรายินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งให้ท่านได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ท่าน

5
ดอกบัวในโถแก้ว: การอบดอกบัว ด้วยสารดูดความชื้น การรักษารูปทรงและสีสัน

การอบดอกบัวด้วยสารดูดความชื้น (Silica Gel) เพื่อรักษารูปทรงและสีสัน

การอบดอกบัวด้วยซิลิกาเจลเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความสวยงามของดอกบัวให้คงอยู่ได้นาน ทั้งรูปทรงและสีสันค่ะ วิธีนี้จะช่วยดึงความชื้นออกจากดอกบัวได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทำให้ดอกไม้แห้งโดยไม่เสียรูปทรงหรือเปลี่ยนเป็นสีคล้ำมากนัก

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม:
ดอกบัวสด: เลือกดอกบัวที่สมบูรณ์ ไม่มีตำหนิ กำลังแย้ม หรือบานเต็มที่เล็กน้อย (ดอกที่ตูมสนิทอาจจะแห้งยากกว่า และดอกที่บานเต็มที่มากอาจจะเสียรูปทรงง่าย)

ซิลิกาเจล (Silica Gel): แนะนำให้ใช้ชนิดที่มีสารบ่งชี้สี (Indicating Silica Gel) ที่จะเปลี่ยนสีเมื่อดูดความชื้นเต็มที่ (เช่น จากสีน้ำเงินเป็นสีชมพู หรือจากสีส้มเป็นสีเขียว) เพื่อให้รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนหรือนำไปอบไล่ความชื้นเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

ภาชนะพลาสติกมีฝาปิดสนิท: หรือกล่องสำหรับอบดอกไม้ ควรเลือกขนาดที่พอดีกับดอกบัวและมีพื้นที่เหลือสำหรับซิลิกาเจล

คีมหนีบ หรือไม้เล็กๆ: สำหรับจัดวางดอกไม้และปัดซิลิกาเจล

พู่กันขนนุ่ม: สำหรับปัดซิลิกาเจลที่ติดอยู่บนดอกไม้

(ไม่บังคับ) สเปรย์เคลือบดอกไม้แห้ง (Floral Sealant Spray): สำหรับฉีดเคลือบเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันความชื้นในระยะยาว

ขั้นตอนการอบดอกบัวด้วยซิลิกาเจล:

เตรียมดอกบัว:

ตัดก้านดอกบัวให้เหลือความยาวตามต้องการ หรืออาจจะตัดออกทั้งหมดหากต้องการแค่ดอก

ริดใบบริเวณก้านดอกออกให้หมด

หากดอกบัวมีน้ำค้างอยู่ตามกลีบ ให้ซับออกเบาๆ ด้วยกระดาษทิชชู

หากต้องการให้ดอกบัวคงรูปทรงที่บานอยู่ ให้จัดกลีบดอกให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการก่อนนำไปอบ

รองพื้นด้วยซิลิกาเจล:

เทซิลิกาเจลหนาประมาณ 1-2 นิ้ว ลงในภาชนะที่เตรียมไว้

วางดอกบัว:

วางดอกบัวลงบนซิลิกาเจลอย่างระมัดระวัง โดยจัดให้ดอกบัวอยู่ในท่าที่ต้องการให้แห้ง (เช่น วางตั้งขึ้น หรือวางตะแคง)

หากต้องการอบดอกบัวหลายดอกในภาชนะเดียวกัน ควรเว้นระยะห่างระหว่างดอกบัวแต่ละดอก เพื่อให้ซิลิกาเจลกระจายตัวได้ทั่วถึง

กลบด้วยซิลิกาเจล:

ค่อยๆ เทซิลิกาเจลลงไปรอบๆ ดอกบัวอย่างช้าๆ และเบามือ

ใช้คีมหรือไม้เล็กๆ ช่วยเกลี่ยซิลิกาเจลให้เข้าไปในซอกกลีบดอกอย่างทั่วถึง

เทซิลิกาเจลกลบดอกบัวจนมิดทั้งหมด อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของดอกโผล่พ้นขึ้นมา เพราะส่วนที่โผล่จะแห้งช้าและอาจเปลี่ยนสีได้

ปิดฝาให้สนิท:

ปิดฝาภาชนะให้แน่นหนาที่สุด เพื่อป้องกันอากาศและความชื้นภายนอกเข้ามา ซึ่งจะทำให้ซิลิกาเจลเสื่อมสภาพเร็วและดอกบัวแห้งไม่สมบูรณ์

ทิ้งไว้:

วางภาชนะไว้ในที่แห้งและเย็น อุณหภูมิห้องปกติ

ระยะเวลาในการอบจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของดอกบัวและปริมาณน้ำในดอก โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน สำหรับดอกบัวขนาดกลางถึงใหญ่ อาจใช้เวลานานกว่านั้น


ตรวจสอบและนำดอกบัวออก:

เมื่อครบกำหนด ค่อยๆ เทซิลิกาเจลออกอย่างช้าๆ และระมัดระวัง

ใช้คีมค่อยๆ คีบดอกบัวออกมา หรือใช้มือเปล่าหากมั่นใจว่าจะไม่ทำให้ดอกบัวเสียหาย

ดอกบัวที่แห้งสนิทจะมีเนื้อสัมผัสเหมือนกระดาษ แห้ง เบา และกรอบเล็กน้อย หากยังรู้สึกนิ่ม แสดงว่ายังไม่แห้งสนิท ให้กลบด้วยซิลิกาเจลแล้วอบต่ออีก 1-2 วัน

ทำความสะอาด:

ใช้พู่กันขนนุ่มๆ ปัดซิลิกาเจลที่ติดอยู่ตามซอกกลีบออกให้หมดอย่างเบามือที่สุด เพราะดอกบัวที่แห้งแล้วจะเปราะบางมาก


การรักษารูปทรงและสีสันเพิ่มเติม:

เลือกดอกบัวที่เหมาะสม: ควรเลือกดอกบัวที่เพิ่งบานใหม่ๆ หรือกำลังแย้ม จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาสีสันและรูปทรง

การเตรียมดอกไม้ก่อนอบ: หากต้องการให้ดอกบัวบานออกเต็มที่ ให้จัดกลีบดอกให้บานเต็มที่ก่อนนำไปอบในซิลิกาเจล

การใช้สเปรย์เคลือบ: หลังจากดอกบัวแห้งสนิทและทำความสะอาดซิลิกาเจลออกหมดแล้ว สามารถฉีดสเปรย์เคลือบดอกไม้แห้ง (Floral Sealant Spray) บางๆ เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันความชื้น และรักษาสีสันให้คงทนยิ่งขึ้น

การเก็บรักษา: เก็บดอกบัวแห้งในภาชนะที่ปิดสนิท ป้องกันฝุ่นละออง แสงแดดโดยตรง และความชื้น เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด

การอบดอกบัวด้วยซิลิกาเจลเป็นวิธีที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงแน่นอนค่ะ

6
ทำความรู้จักกับ Post Covid อาการที่คนเคยติดเชื้อcovid-19 ต้องรู้!

สุขภาพไม่ปกติ รู้สึกไม่แข็งแรง อาการ Post Covid Condition ภาวะหลังติดโควิดที่กำลังกลายเป็น topic ด้านสุขภาพ ที่ตอนนี้ทุกท่านกำลังให้ความสนใจ … โรคนี้คืออะไร? อาการเป็นอย่างไร? เราจะดูแลรักษาตนเองอย่างไร? เมื่อไรที่ควรจะต้องมาพบแพทย์ เมื่อหายป่วยจากโควิดแล้วควรปฏิบัติตัวอย่างไร? วันนี้มีคำตอบมาฝากทุกท่านค่ะ

Post Covid Conditions ภาวะโพสต์โควิด คืออะไร?

Post Covid Condition คือ ผลกระทบระยะยาวของการติดเชื้อโควิด-19 เราอาจจะเคยได้ยินในชื่ออื่น ไม่ว่าจะเป็น Long-haul COVID-19, Post-acute COVID-19, Post-COVID-19 Syndrome เป็นอาการหลังจากติดเชื้อ Covid โดยผู้ป่วยยังมีอาการผิดปกติยาวนานกว่า 4 สัปดาห์ แม้จะหายจากโรคโควิดแล้ว โดยอาการดังกล่าวสามารถเกิดได้ทั่วร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ตั้งแต่ระบบผิวหนัง ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยบางรายยังรู้สึกไม่แข็งแรง และยังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนที่ผ่านมา

ผู้ป่วย Post Covid Condition จะมีอาการอย่างไร รักษาได้ไหม?

อย่างที่ทราบกันนะคะว่าผลกระทบจากโควิดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย โดยกลุ่มอาการที่สังเกตได้ หมอจะสรุปคร่าวๆ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มอาการดังต่อไปนี้ค่ะ

    ไอ กลุ่มอาการไอ เป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยผู้ป่วยจะมีอาการไอแห้ง ไอมาก ไอเมื่อหายใจเข้า ซึ่งอาการไอนี้ อาจเกิดได้ยาวนานตั้งแต่ 1-3 เดือน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไอปนเลือดเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นอาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้

    อาการไอที่เกิดขึ้นเกิดจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่เป็นเชื้อก่อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายไปทำลายเซลล์เยื่อบุในระบบทางเดินหายใจ ส่งผลให้จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส โดยทำลายเซลล์เยื่อบุโพรงจมูกไปจนถึงเซลล์เยื่อบุบริเวณหลอดลม และถุงลม จนก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบ

    หลังจากที่ผู้ป่วยหายจากโควิด-19 ร่างกายจะถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ ฝุ่นละออง จนอาจทำให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการภูมิแพ้กำเริบได้

    แนะนำให้สังเกตตนเอง เมื่อใดก็ตามที่มีอาการไอ ไอแห้ง ร่วมกับมีเสมหะมากขึ้น หรือเสมหะเปลี่ยนสี มีไข้ เหนื่อยมากขึ้น นอนราบไม่ได้ อาการไม่ดีขึ้นตามลำดับ แนะนำให้รีบมาพบแพทย์ภายใน 24-48 ชั่วโมงค่ะ

    จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส นอกเหนือจากอาการไอแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการจมูกไม่ได้กลิ่น สูญเสียการรับรส ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาการที่เป็นผลกระทบมาจากเชื้อโควิด-19 ที่แพร่กระจายเข้าไปที่เซลล์ประสาทการดมกลิ่นในโพรงจมูก โดยการสูญเสียการรับกลิ่นจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1 เดือน และหายกลับมาเป็นปกติภายใน 2 เดือน ส่วนอาการลิ้นไม่รับรสจะหายช้ากว่าเล็กน้อย

    ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองและฝึกการดมกลิ่น (Olfactory training) เพื่อช่วยให้อาการกลับมาดีขึ้นโดยเร็ว โดยการดมกลิ่นอ่อนๆ เช่น น้ำหอม สบู่ เป็นต้น และไม่แนะนำให้ดมแอลกอฮอล์ แอมโมเนีย หรือของที่มีกลิ่นแรงๆ เนื่องจากกลิ่นดังกล่าวสามารถเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุของระบบทางเดินหายใจ เพิ่มการบาดเจ็บของระบบประสาทของการรับรู้กลิ่น เป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่วนการรักษาอาการลิ้นไม่รับรส ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีรสจัด หรือเคี้ยวพริก เนื่องจากจะทำให้การฟื้นฟูของระบบการรับรสแย่ลง อีกทั้งยังทำให้อาการดังกล่าวหายช้าลงอีกด้วยค่ะ

    หลังหายจากเชื้อโควิด-19 แล้ว ผู้ป่วยอาจไม่สามารถหายกลับมาเป็นปกติได้เต็ม 100% อาจสูญเสียการรับรสหรือรับกลิ่นไปบ้าง แต่อาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และกลับมาเป็นปกติในที่สุดค่ะ

    อาการทางสมอง ผู้ป่วยอาจได้รับผลกระทบทางระบบประสาท มีภาวะนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท ความจำแย่ลง สมาธิสั้นลง คิดคำพูดไม่ออก เคลื่อนไหวช้าลง ประสิทธิภาพการสมองไม่โลดแล่น หรือเราเรียกว่า กลุ่มอาการภาวะสมองล้า (Brain Fog) ซึ่งกลุ่มอาการดังกล่าวจะดีขึ้นตามลำดับเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2-4 สัปดาห์

    และในผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการปอดอักเสบขั้นรุนแรง อาจมีอาการ PTSD (Post–Traumatic Stress Disorder) เนื่องจากต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรง หวนคิดถึงเหตุการณ์นั้นๆ ซ้ำๆ คิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมาก แนะนำให้ปรึกษาพบจิตแพทย์รักษาอาการค่ะ

    ผมร่วง อาการผมร่วงสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ผมร่วงระดับน้อย ซึ่งอาการมักจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และกลุ่มที่มีผมร่วงทั่วศีรษะ (Telogen effluvium) มักจะเกิดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง โดยมีอาการผมร่วงมากกว่าปกติอย่างฉับพลัน ติดต่อกันต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน และจะมีอาการดีขึ้นในเวลา 6 เดือน กลุ่มอาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อโควิด-19 เท่านั้น ยังสามารถเป็นอาการที่ตามมาของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคใดๆ ก็ตามที่มีไข้สูง ซึ่งโรคดังกล่าวมีผลกระทบต่อเซลล์รากผม ทำให้เส้นผมถูกกระตุ้นให้หลุดร่วงเร็วกว่าปกติ

    ผู้ป่วยอาจมีการรับประทานวิตามินเสริมร่วมได้เพื่อบรรเทาอาการ เช่น กลุ่มวิตามิน Biotin Zinc รับประทานสารอาหารที่มีประโยชน์ในการสร้างเซลล์ผมใหม่และบำรุงรากผมเดิมให้แข็งแรงขึ้น แต่ในส่วนของการใช้ยาที่มีส่วนผสม Minoxidil จากการศึกษาวิจัยพบว่า ตัวยาดังกล่าวยังไม่ได้มีส่วนช่วยสำหรับกลุ่มอาการผมร่วงมากนัก แนะนำให้ผู้ป่วยลดความเครียด ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เพราะถ้าหากผู้ป่วยมีความเครียดมาก ก็จะยิ่งส่งผลให้ผมร่วงมากตามไปด้วย

    อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เชื้อโควิด-19 จะไปกระตุ้นสารที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบทั่วทั้งร่างกาย ทำให้มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ตัวบวม ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย รู้สึกร่างกายไม่แข็งแรง ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1 เดือน แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น ควรมาปรึกษาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้ออื่นๆ เช่น โรคลิ่มเลือดอุดตัน เป็นต้น

    ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ อาจพบอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ท้องเสีย รวมไปถึงอาจมีภาวะกรดไหลย้อนเกิดขึ้น เนื่องจากการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ต้องนอนเป็นระยะเวลานาน และการไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย ดังนั้น แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารของตนเอง หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ ช็อกโกแลต แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด การรับประทานอาหารที่ไม่ตรงเวลา และไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร โดยควรนั่งพักอย่างน้อยเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ นอกจากนี้ ควรหมั่นออกกำลังกาย 3-4 วันต่อสัปดาห์ โดยเน้นการออกกำลังกายประเภทแอโรบิค วิ่ง ว่ายน้ำ เพื่อช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายและช่วยให้ระบบทางเดินอาหารให้กลับมาเป็นปกติ

เราสามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยง ภาวะ Post Covid ได้ไหม?

จากงานศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการหนักตั้งแต่ระยะแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการปอดอักเสบ ผู้ที่ได้รับออกซิเจน ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือผู้ป่วย ICU จะพบว่ามีอาการ Post Covid 70% หลังหายป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 แล้ว

นอกจากนี้ยังพบภาวะโพสต์โควิดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุมาก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่เป็นเพศหญิง ซึ่งพบมากกว่าผู้ป่วยเพศชาย 3-4 เท่า กล่าวได้ว่า ในผู้ป่วยทุกคนที่เคยได้รับเชื้อ SARS-CoV-2 หรือเคยติดเชื้อโควิด-19 จะมีผู้ป่วยเป็นจำนวนประมาณ 30% ที่ต้องเผชิญกับภาวะ Post Covid Condition หรือ Long Covid Syndrome

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่หายจาก Covid-19

หลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผู้ป่วยควรสังเกตอาการของตนเอง ว่ามีอาการหลงเหลืออะไรบ้าง หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นอาการไอ จมูกไม่ได้กลิ่น สูญเสียการรับรส ผมร่วง เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย อาการเหล่านี้สามารถดีขึ้นได้ หากผู้ป่วยไม่เครียด ใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยอาการจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ แต่หากเริ่มมีอาการแย่ลง กลับมามีไข้ รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น จะต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนหรือภาวะติดเชื้ออื่นๆ เพื่อรับการรักษาต่อไป

หายป่วยจากโควิด-19 แล้ว จะฉีดวัคซีนได้เมื่อไร?

ผู้ป่วยโควิด-19 หลายท่านคงสงสัยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด เมื่อหายป่วยแล้ว จะฉีดวัคซีนได้เมื่อไร หรือเลยกำหนดเวลาที่ต้องรับวัคซีนแล้ว จะทำอย่างไรดี หมอขอแบ่งออกเป็น 3 กรณีด้วยกันค่ะ

กรณีที่ 1 ไม่เคยได้รับวัคซีนโควิดมาก่อน ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มที่ 1 ได้ทันที เมื่อผู้ป่วยหายจากการติดเชื้อและกักตัวครบ 28 วัน

กรณีที่ 2 เคยได้รับวัคซีนโควิด 1 เข็ม เลยวันนัดเข็มที่ 2 สำหรับผู้ป่วยที่รับวัคซีนโควิดเข็มที่ 1 แล้ว แต่ติดเชื้อโควิด-19 จนทำให้เลยวันนัดการรับวัคซีนเข็มที่ 2 ไป เมื่อหายป่วยและกักตัวครบ สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ได้ทันที

กรณีที่ 3 เคยได้รับวัคซีนโควิด 1 เข็ม แต่ยังไม่ถึงวันนัดเข็มที่ 2 เมื่อผู้ป่วยหายจากการติดเชื้อและกักตัว ครบตามระยะเวลา สามารถไปฉีดเข็มที่ 2 ตามวันนัดหมายเดิมได้เลย แต่ถ้าหากเลยวันนัดที่กำหนด แนะนำให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่จุดที่ผู้ป่วยเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ว่าอยู่ในระยะการกักตัว เพื่อทำการนัดหมายวันฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ใหม่ หลังจากที่กักตัวครบเวลา โดยฉีดได้เลยไม่ต้องรออีก 3 เดือน

รับมือโควิดเดลต้าพลัส ปฏิบัติตัวอย่างไรดี

    COVID-19 คาดว่าจะยังคงอยู่กับเราและโลกใบนี้ไปอีกนาน ดังนั้น เรายังคงต้องระมัดระวังตนเอง ดูแลสุขอนามัยของตนเอง สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่างระหว่างผู้คน และใช้ชีวิตอย่างมีสติ และเรายังคงรอผลการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคนี้ต่อไป ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง และร่วมมือกันเอาตัวรอดจากวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ไปด้วยกันนะคะ


7
เมนูแนะนำทำขายเป็นอาชีพเสริม ผัดกะเพราปลาทูทอด เมนูอาหารตามสั่งรสชาติจัดจ้านเข้มข้นผสมผสานความกรอบนอกนุ่มใน

ผัดกะเพราปลาทูทอด อาหารจานนี้ผสมผสานรสชาติเข้มข้นของผัดกะเพราเผ็ดร้อนเข้ากับรสชาติเข้มข้นของปลาทู มอบความพิเศษให้กับผู้ชื่นชอบอาหารทะเล ผัดกะเพราปลาทูทอดเป็นเมนูอาหารตามสั่งที่ผสมผสานความจัดจ้านของกะเพราเข้ากับความอร่อยของปลาทูทอดได้อย่างลงตัว ได้ทั้งความกรอบนอกนุ่มในของปลาทูและความหอมเผ็ดร้อนของเครื่องผัดกะเพราเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาด

อะไรที่ทำให้ผัดกระเพราปลาทูทอดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว?
แตกต่างจากเมนูเนื้อสับแบบดั้งเดิม อาหารจานนี้เน้นปลาแมคเคอเรลทอดซึ่งเป็นปลาหลักของอาหารไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อสัมผัสที่แน่นและรสชาติเข้มข้น โดยปกติแล้วปลาแมคเคอเรลจะทอดจนเหลืองกรอบ แล้วนำไปผัดกับกระเทียม พริกสด น้ำปลา และใบโหระพาหอมกรุ่น รสชาติที่ตัดกันอย่างลงตัวระหว่างหนังปลากรอบ เนื้อปลานุ่ม และซอสโหระพารสจัดจ้าน ทำให้ทุกคำที่รับประทานน่าจดจำ

หลักในวัฒนธรรมไทยตามสั่ง
ในประเทศไทยอาหารตามสั่งคืออาหารประจำวันที่ปรุงอย่างรวดเร็วตามความต้องการของลูกค้า ผัดกระเพราปลาทูทอดเข้ากับวัฒนธรรมนี้ได้อย่างลงตัว คือทำง่าย ราคาไม่แพง และรสชาติเข้มข้น ไม่ว่าจะเสิร์ฟตามแผงลอยริมทาง ศูนย์อาหารท้องถิ่น หรือร้านอาหารเล็กๆ ที่เป็นธุรกิจครอบครัว อาหารจานนี้เป็นตัวเลือกที่อบอุ่นในวันที่เร่งรีบ

โปรไฟล์รสชาติ
เผ็ด – จากพริกขี้หนูไทย
หอม – จากใบกะเพรา
รสเผ็ด – ปรุงรสด้วยน้ำปลาและซอสหอยนางรม
กรอบและนุ่ม – ปลาแมคเคอเรลทอดมีเนื้อสัมผัสทั้งสองอย่างในคำเดียว

โดยทั่วไปจะเสิร์ฟอย่างไร
เช่นเดียวกับผัดกะเพราส่วนใหญ่กะเพราแบบนี้มักจะเสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลินึ่งหลายคนชอบทานคู่กับไข่ดาวกรอบ ( ไค่เต้าเจี้ยว ) ซึ่งไข่แดงเยิ้มๆ เข้ากันได้ดีกับซอสกะเพรารสเผ็ด การผสมผสานระหว่างข้าว ปลา กะเพรา และไข่ ทำให้กะเพราเป็นเมนูที่ครบเครื่องและอร่อยลงตัว

ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าผัดกระเพราเนื้อ สัตว์
นำเสนอ รสชาติ อาหารทะเลไทยแท้ๆ
เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบอาหารรสจัด เผ็ด หอม
วิธีที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสประสบการณ์อาหารริมทางของไทยนอกเหนือจากอาหารยอดนิยมทั่วไป

เคล็ดลับความอร่อย
เลือกปลาทูสด: การใช้ปลาทูที่สดจะทำให้เนื้อปลาหวานอร่อย
ทอดปลาทูให้กรอบ: ควรทอดปลาทูด้วยไฟปานกลางจนเหลืองกรอบ เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่ดี
ผัดไฟแรง: ผัดกะเพราด้วยไฟแรงและรวดเร็ว เพื่อให้ได้กลิ่นหอมของกะเพราและคงความกรอบของปลาทูไว้

ผัดกะเพราปลาทูทอดไม่ได้เป็นแค่ผัดกะเพราธรรมดาๆ ทั่วไป แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงรสชาติอันแสนอร่อยของอาหารไทยที่เปลี่ยนวัตถุดิบธรรมดาๆ ให้กลายเป็นอาหารจานพิเศษ ไม่ว่าคุณจะไปสำรวจร้านอาหารไทยท้องถิ่นหรือทำอาหารเองที่บ้าน อาหารจานนี้เป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับใครก็ตามที่รักรสชาติอันเข้มข้นและมีชีวิตชีวาของไทย


8
การจัดฟันเด็กเล็ก มีความเสี่ยงหรือไม่ ?

ต้องบอกเลยว่ามีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับการจัดฟันในเด็กเล็ก และส่วนใหญ่จะเป็นความเชื่อในด้านลบ โดยผู้ใหญ่หลายๆท่านจะมองว่า เด็กเล็กจะจัดฟันไปทำไม เพราะเดี๋ยวฟันน้ำนมก็หลุด เชื่อมโยงไปถึงการมองข้ามคุณค่าประโยชน์และผลกระทบที่ตามมาของฟันน้ำนม ซึ่งถือว่าเป็นความคิดที่ผิดเป็นอย่างมาก

จากการศึกษาวิจัยทางด้านทันตกรรมมาโดยตลอดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ฟันและเหงือกมีความสำคัญมากตั้งแต่แรกเกิด จึงควรที่จะทำการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากตั้งแต่แรกเกิดเสียด้วยซ้ำ

ถึงแม้ความความเป็นจริงฟันน้ำนมจะโยกคลอนและหลุดไปตามธรรมชาติ แต่หากว่าดูแลรักษาไม่ดีตั้งแต่ช่วงฟันน้ำนม ก็จะส่งผลเสียถึงฟันแท้ด้วยเช่นกัน

ซึ่งในวันนี้จึงขออนุญาตมาไขข้อสงสัย เกี่ยวกับการจัดฟันในเด็ก และความสำคัญของฟันน้ำนมที่หลายๆท่ายังเข้าใจผิดว่าไม่สำคัญ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


เด็กเล็กควรเริ่มจัดฟันตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?

ต้องขอบอกเพียงสั้นๆว่า ยิ่งจัดฟันเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี และมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น เนื่องจากว่านวัตกรรมทางด้านทันตกรรมถือว่าก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าคนส่วนใหญ่บนโลกได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพช่องปากเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และถือว่าเป็นคำถามหลักของผู้ปกครองว่า บุตรหลานต้องมีอายุเท่าไหร่ถึงควรทำการจัดฟันได้

ซึ่งทางด้านของสมาคมทันตแพทย์ประเทศออสเตรเลียได้กล่าวไว้เมื่อนานมาแล้วว่า เด็กเล็กที่มีปัญหาเรื่องการสบฟันที่ผิดปกติ หรือขากรรไกรที่ไม่เป็นธรรมชาติ อย่างช้าควรเริ่มทำการจัดฟันที่อายุประมาณ 7 ขวบ เพราะถือได้ว่าเป็นช่วงวัยที่โครงสร้างต่างๆสามารถรักษาได้ง่าย เพราะยังไม่สิ้นสุดการเจริญเติบโต หากช้าไปกว่านี้อาจจะทำให้การจัดฟันจนเข้ารูปถือว่าเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปอีก


“EF Line” เครื่องมือจัดฟันเด็กเล็กที่ทันตแพทย์ทั่วโลกแนะนำ

อย่างที่ทราบกันดีว่าโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ๆถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นตามลำดับ อุปกรณ์จัดฟันก็เช่นกัน เพราะเป็นหนึ่งในปัญหาที่มักพบเป็นอันดับต้นๆของผู้ที่ทำการรักษาโรคต่างๆเกี่ยวกับช่องปาก

ซึ่งนวัตกรรม EF Line นี้ถือว่าทำออกมาเพื่อตอบสนองการจัดฟันในเด็กเล็กๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งอุปกรณ์จัดฟัน EF Line นี้ถูกออกแบบมาให้แก้ปัญหาแบบครอบคลุมสำหรับเด็กเล็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 ขวบ จนกระทั่งถึง 15 ปี ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมาก

ซึ่งอุปกรณ์จัดฟัน EF Line นี้ไม่ได้เพียงแต่จัดฟันเด็กเล็กให้เข้ารูป แต่ยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ เช่น คางยุบ คางเบี้ยว รวมถึงพฤติกรรมที่จะทำให้โครงสร้างฟันมีปัญหา เช่น การกลืนอาหารผิดวิธี การวางลิ้นผิดตำแหน่ง และการดูดนิ้ว เป็นต้น

EF Line จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ลบความเชื่อผิดๆของผู้ใหญ่หลายๆท่านว่า ไม่ควรจัดฟันตอนเด็กได้อย่างสิ้นเชิง เพราะประสิทธิภาพของอุปกรณ์ชนิดนี้สูงจนทำให้หลายๆท่านเปลี่ยนความคิดและเห็นความสำคัญของฟันเด็กเล็กกันไปเลยทีเดียว


ระวังหากรอช้าไม่รีบจัดฟันในวัยเด็กเล็ก

– ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ฟันน้ำนมไม่ได้สำคัญ มีปัญหาก็ถอนทิ้ง ถือค่อยทำการรักษาตอนที่โตแล้วมีฟันแท้ขึ้นทั้งปาก ซึ่งนั่นคือความเข้าใจผิดและอาจจะสายเกินไปที่จะทำการรักษาแก้ไข เพราะฟันน้ำนมถือได้ว่ามีบทบาทมากๆต่อการเรียงตัวและรูปทรงของฟันแท้

– การจัดฟันตั้งแต่ที่ยังอายุน้อยๆ ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหา และลดความรุนแรง ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงที่อายุมากขึ้น การจัดฟันควรเริ่มตั้งแต่ในวัยประถม หากรอให้ถึงวัยมัธยมอาจจะสายเกินไป และความรุนแรงของการผิดปกติก็อาจจะมีมากขึ้นไปด้วยตามลำดับ

– ในปัจจุบันจากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ดีขึ้น พบได้ว่าวัยรุ่น อายุประมาณ 18  ปีขึ้นไป จำนวนมากมีปัญหาเรื่องขนาดของขากรรไกร อาจเกี่ยวกับการรับประทาน หรือความเคยชินในพฤติกรรมวัยเด็กก็ตาม ทันตแพทย์ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ทำการจัดฟัน เพราะอาจจะทำให้อาการผิดปกติยิ่งแย่ลงไปอีก แต่ทันตแพทย์จะให้ทำการรอดูอาการอย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลาหนึ่งเมื่อพร้อมถึงจะเริ่มการจัดฟัน ต่างกับเด็กเล็กๆที่ทันตแพทย์จะแนะนำให้รีบทำการจัดฟันในทันที

9
หมอประจำบ้าน: โรคพยาธิเส้นด้าย (Enterobiasis)

โรคพยาธิเส้นด้ายเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิเส้นด้าย (thread worm)* ซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของคน

โรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย เพราะมีโอกาสติดจากกันได้ง่าย แต่เมื่อเด็กโตขึ้น รู้จักรักษาความสะอาดและมีสุขนิสัยดีขึ้น การติดโรคนี้ก็จะค่อย ๆ ลดน้อยลง ดังนั้นโรคนี้จึงมักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือเกิดโทษร้ายแรงแต่อย่างใด

*วงจรชีวิตของพยาธิเส้นด้าย

พยาธิเส้นด้าย (thread worm) หรือบางรายเรียกว่าพยาธิเข็มหมุด (pin worm) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เอนเทอโรเบียสเวอร์มิคูลาริส (Enterobius vermicularis) เป็นพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย ตัวเมียขนาดยาวประมาณ 1 ซม. ตัวผู้ประมาณ 0.3 ซม. พยาธิตัวเต็มวัย (ตัวแก่) อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของคน พยาธิตัวเมียที่ถูกผสมแล้ว จะเคลื่อนตัวออกมาวางไข่ที่ก้นของผู้ป่วยในเวลากลางคืน จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกคันก้นมาก (บางครั้งอาจออกมาวางไข่ที่ปากช่องคลอดของเด็กผู้หญิง ทำให้มีอาการคันช่องคลอดได้) ไข่พยาธิจะฟักเป็นตัวอ่อนภายใน 6 ชั่วโมง ตัวอ่อนบางตัวอาจเคลื่อนย้อนกลับเข้าไปเจริญเป็นตัวแก่ในลำไส้

เมื่อผู้ป่วยเกาก้น ไข่พยาธิจะติดที่ซอกเล็บหรือปลายนิ้ว เมื่อผู้ป่วยกินอาหารโดยใช้มือจับอาหาร หรือเด็กที่ชอบกัดเล็บหรือดูดนิ้วเล่น ก็จะกลืนเอาไข่พยาธิลงไปด้วย ไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนและเจริญเป็นตัวแก่ในลำไส้


สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ มักเป็นการติดจากตัวของผู้ป่วยเอง โดยการกลืนไข่หรือตัวอ่อนที่เปื้อนมือตัวเองดังกล่าว เช่น การอมมือหรือกัดเล็บของตัวเองเล่น หรือกินข้าวด้วยมือ

ส่วนผู้อื่นอาจติดโรคนี้ได้โดยการสัมผัสถูกมือของผู้ที่มีพยาธิอยู่ก่อน แล้วกลืนเอาไข่หรือตัวอ่อนจากมือที่เปื้อนอีกทอดหนึ่ง

บางครั้งไข่หรือพยาธิ อาจเปื้อนอยู่ตามเก้าอี้นั่ง ที่นอน เสื้อผ้า ฝุ่นละออง ซึ่งอาจเปื้อนต่อไปที่มือ อาหาร น้ำดื่ม เมื่อคนเรากลืนเอาไข่พยาธิจากสิ่งเหล่านี้เข้าไปก็กลายเป็นโรคนี้ได้

ดังนั้น ถ้ามีคนในบ้านเป็นโรคนี้เพียงคนเดียว ในไม่ช้าก็จะแพร่กระจายไปให้คนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว จึงมักพบเป็นพร้อม ๆ กันหลายคนในครอบครัวหรือในโรงเรียน ถือเป็นโรคพยาธิที่พบได้บ่อยมากชนิดหนึ่ง

อาการ

มักมีอาการคันก้นมาก (เด็กผู้หญิงบางรายอาจคันที่ช่องคลอดด้วย) เฉพาะในเวลากลางคืน ผู้ป่วยมักจะต้องเกาก้นและอาจนอนไม่หลับ

บางครั้งถ้าเอาไฟฉายส่องดูที่ปากทวารหนัก อาจพบตัวพยาธิมีลักษณะคล้ายเส้นด้ายเล็ก ๆ สีขาว


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

ในผู้หญิง ตัวพยายาธิอาจเข้าไปในช่องคลอดและมดลูก ทำให้ช่องคลอดอักเสบหรือมดลูกอักเสบได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการตรวจพบพยาธิเส้นด้ายที่ปากทวารหนักและการตรวจหาไข่พยาธิ โดยใช้ "สก็อตเทป" แปะที่ปากทวารหนัก แล้วปิดลงบนแผ่นกระจกใส (slide) นำไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้ยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล หรืออัลเบนดาโซล ควรกินซ้ำอีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา ควรรักษาทุกคนในบ้านพร้อม ๆ กัน

2. ระหว่างการรักษา ควรนำกางเกงใน ชุดนอน และผ้าปูที่นอนไปต้มให้สะอาด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคันก้น หรือคันช่องคลอดในเวลากลางคืน หรือเอาไฟฉายส่องปากทวารพบตัวพยาธิลักษณะคล้ายเส้นด้าย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิเส้นด้าย ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ในการป้องกันการติดโรคนี้ซ้ำ ๆ ควรปฏิบัติดังนี้

1. หมั่นตัดเล็บให้สั้น

2. ล้างมือก่อนกินอาหาร และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง

3. ซักล้างเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนให้สะอาด


ข้อแนะนำ

โรคนี้ไม่มีอันตราย แต่อาจเป็นเรื้อรัง ทำให้รำคาญ หรือนอนไม่พอ และจะค่อย ๆ หายได้เองเมื่อโตขึ้น

10
รถหกล้อรับจ้าง ขนของด่วน ราคาถูกใจ รถรับจ้างภูเก็ต ยินดีให้บริการ

การขนของในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวกสบายเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงความรวดเร็ว ความปลอดภัย และราคาที่เหมาะสมอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต ที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวของผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักอาศัยชั่วคราว คนทำงานที่ย้ายห้องหรือย้ายบ้าน รวมไปถึงธุรกิจที่ต้องขนสินค้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ หากมองหาบริการที่ตอบโจทย์เรื่อง “ขนของด่วน ราคาถูกใจ” ชื่อที่ไม่ควรมองข้ามคือ รถรับจ้างภูเก็ต ที่พร้อมดูแลคุณทุกขั้นตอน

   
ขนของด่วน ได้ของไว ไม่ต้องรอนาน

หลายคนเคยเจอปัญหาเรียก รถรับจ้าง แล้วยังต้องรอคิวเป็นวัน หรือติดต่อยากจนเสียเวลา แต่กับขนส่ง คุณไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่มีทีมงานและรถพร้อมให้บริการตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานด่วนวันนี้ งานเร่งด่วนตอนเช้า หรือขนย้ายกลางคืน เรามีทีมงานคอยสแตนด์บาย เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากที่สุด

การทำงานของทีม รถรับจ้างภูเก็ต เราเน้นความ รวดเร็วและตรงต่อเวลา ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าของจะถึงที่หมายตรงตามนัดหมาย ไม่ว่าจะเป็นการ ย้ายหอพัก คอนโด อพาร์ตเมนต์ ย้ายบ้าน หรือแม้แต่การส่งสินค้าเพื่อธุรกิจด่วน ๆ ก็สามารถใช้บริการได้

   
ราคาถูกใจ เข้าถึงง่าย

เรื่องราคาเป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความรวดเร็ว และนี่คืออีกหนึ่งจุดเด่นของ รถรับจ้างภูเก็ต ของเราเพราะเราคิดราคายุติธรรม ไม่แพงจนเกินไป และสามารถเลือกแพ็กเกจบริการได้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเหมาแบบรายเที่ยว หรือใช้บริการเป็นประจำเพื่อธุรกิจ ก็มีเรทราคาให้เลือกตามความเหมาะสมกับงานขนย้ายของคุณค่ะ

ลูกค้าที่ใช้บริการต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ราคาคุ้มค่า ถูกใจ เมื่อเทียบกับคุณภาพงานและความใส่ใจที่ได้รับ เราเชื่อว่าการบริการที่ดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป

   
รถพร้อม คนพร้อม บริการครบวงจร

ขนส่ง มีรถหลากหลายประเภทให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น รถกระบะตอนเดียว/กระบะตู้ทึบ สำหรับขนย้ายของชิ้นไม่ใหญ่มาก เช่น ของใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ รถหกล้อ เหมาะกับการย้ายบ้านทั้งหลัง ย้ายสำนักงาน หรือขนสินค้าในปริมาณมาก รถสิบล้อ สำหรับงานขนาดใหญ่ เช่น ย้ายเครื่องจักร วัสดุก่อสร้าง หรืออุปกรณ์กิจกรรมขนาดใหญ่

นอกจากรถแล้ว เรายังมีทีมงานที่สามารถช่วยยกของและจัดเรียงของได้อย่างเป็นระบบ ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะให้คนยกของช่วยหรือไม่ เพื่อความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย

   
ความปลอดภัย คือสิ่งที่เราให้ความสำคัญ

หลายคนอาจกังวลว่าขนของแล้วของจะเสียหายหรือไม่? จะจัดวางเรียบร้อยหรือเปล่า? ที่เราใส่ใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่การยกของ การจัดเรียงในรถ ไปจนถึงการขับขี่ที่ปลอดภัย คนขับมีประสบการณ์ รู้เส้นทางในภูเก็ตและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าของจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ไม่ตกหล่นหรือเสียหาย

   
บริการเป็นกันเอง ติดต่อสะดวก

อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าประทับใจคือความเป็นกันเองของทีมงาน รถรับจ้างภูเก็ต ลูกค้าสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ง่ายทั้งทาง โทรศัพท์และไลน์แอด เพียงทักมา ทีมงานก็พร้อมตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะสอบถามราคา จองคิวรถ หรือปรึกษาเรื่องการขนย้าย เราพร้อมแนะนำและจัดการให้ครบ เบอร์ติดต่อและไลน์แอดของเรา มีเจ้าหน้าที่รับสาย และตอบกลับตลอด ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกทิ้งกลางทางแน่นอน

   
ทำไมต้องเลือกขนส่ง?

    บริการรวดเร็ว ตรงเวลา
    ราคายุติธรรม คุ้มค่ากับคุณภาพ
    รถหลากหลาย เลือกตามความเหมาะสม
    มีทีมงานช่วยยกของและจัดเรียง
    ดูแลของลูกค้าเหมือนของตัวเอง
    ติดต่อสะดวก ตอบไว ไม่ต้องรอนาน

   
เหมาะกับใคร?

บริการ รถรับจ้างภูเก็ต เหมาะกับทุกคนที่ต้องการความสะดวกในการขนของ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา ที่ย้ายหอ ย้ายคอนโด ครอบครัวย้ายบ้าน ต้องการรถใหญ่พร้อมทีมงานช่วย ธุรกิจ SME ที่ต้องส่งสินค้าเป็นประจำ ผู้จัดงานอีเวนต์ ที่ต้องขนวัสดุ อุปกรณ์จำนวนมาก

หากคุณกำลังมองหาบริการ ขนของด่วน ราคาถูกใจ ในภูเก็ต ไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ รถรับจ้างภูเก็ต คือคำตอบที่คุณไว้วางใจได้ บริการของเราครอบคลุมทั้งความรวดเร็ว ราคายุติธรรม รถพร้อม ทีมงานพร้อม และการดูแลที่เป็นกันเอง ให้การขนของของคุณเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องกังวล ยินดีให้บริการทุกวัน

11
ข้อเสียของการจัดฟันเด็ก

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองแม่ควรเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะฟันน้ำนมของเด็กนั้น มีความสำคัญมาก เนื่องจากฟันน้ำนมคือเครื่องมือการรักษาช่องว่างตามธรรมชาติในขากรรไกร เพื่อกันพื้นที่ให้ฟันแท้ขึ้นมาได้ พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่คิดว่าฟันน้ำนมไม่มีความสำคัญ หากเด็กต้องสูญเสียฟันน้ำนมหรือถอนออกก็คงไม่เป็นไร แต่ความจริงแล้ว หากต้องเสียฟันน้ำนมก่อนวัยอันควรเช่น ถ้าพ่อแม่พาบุตรหลานไปถอนฟันน้ำนมทิ้ง ก็อาจจะทำให้ฟันซี่อื่นๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในช่องว่างระหว่างฟัน ทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมาอาจจะขาดพื้นที่และไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ ซึ่งนี่อาจจะเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติของขากรรไกรและการสบฟันของเด็กได้

ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรจะหมั่นสังเกตบุตรหลานของท่านว่ามีการสบฟันที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าหากมีปัญหาดังกล่าว ก็ควรได้รับการตรวจจากทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข สำหรับสัญญาณของความผิดปกติของการสบฟันนั้น ยกตัวอย่างเช่น ฟันซ้อนหรือฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันซ้อนเก ฟันสบลึก หรือเด็กมีพฤติกรรมการบดเคี้ยวอาหารได้ลำบากและชอบหายใจทางปาก ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นสัญญาณของการสบฟันที่ผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านถ้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา โดยการรักษาการสบฟันที่ผิดปกตินั้น


มักนิยมใช้วิธีการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพราะการจัดฟันในเด็ก สามารถช่วยทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม นอกจากนี้  ถ้าเด็กได้รับการรักษาด้วยการจัดฟัน ก็จะมีผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการจัดฟันตอนโต แต่อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กก็ยังมีข้อเสียนั้นก็คืออาจจะทำให้บุตรหลานของท่านใช้ชีวิตประจำวันได้ยากกว่าปกติ แต่ไม่ต้องกังวลในข้อนี้ เพราะถ้าหากเด็กปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกับการใช้เครื่องมือการจัดฟันได้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป

สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงข้อเสียของการจัดฟันในเด็ก ซึ่งอาจจะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนมีความกังวลถึงผลเสียที่จะตามมา ถ้าหากลูกน้อยของท่านจัดฟันตั้งแต่ตอนเด็ก แต่ต้องบอกก่อนว่าการจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการแก้ไขฟันที่มีประสิทธิภาพและก็มีข้อดีเช่นเดียวกัน เพราะจะทำให้เด็กรู้จักรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันและตระหนักถึงปัญหาฟัน หากเราดูแลสุขภาพช่องปากและฟันไม่ดี สำหรับข้อเสียของการจัดฟันในเด็ก อย่างแรกเลยคืออาจทำให้เด็กไม่สามารถทำกิจกรรมที่มีการปะทะได้ เนื่องจากในวัยเด็ก อาจจะมีการเล่นกีฬาหรือร่วมกิจกรรมที่อาจจะมีการปะทะบ้าง ถือเป็นเรื่องที่มักจะพบเจอได้บ่อย

ดังนั้น เด็กอาจจะต้องระมัดระวังในเรื่องของการเล่นกีฬาหรือการร่วมกิจกรรม เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากมีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือในขณะที่เด็กมีเครื่องมือจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ก็อาจจะทำให้ทำความสะอาดฟันได้ยากและเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุได้ถ้าไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี และในขณะรับประทานอาหาร เศษอาหารอาจจะเข้าไปติดที่เหล็กจัดฟันได้ อาจจะทำให้เสียบุคลิกภาพได้ และเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุและมีกลิ่นปาก

ต่อมาการพูดหรือออกเสียงไม่ชัด ซึ่งในข้อนี้ถือเป็นปัญหาของเด็กหลายๆคนที่เข้ารับการจัดฟัน แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะการพูดไม่ชัดจะเกิดขึ้นในระยะแรกหลังจากการจัดฟันและข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือเด็กอาจจะไม่ได้รับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายมากนัก เพราะจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อนนุ่ม เพื่อลดปัญหาของการเสียหายของเครื่องมือจัดฟันนั่นเอง ทั้งหมดนี้ก็ถือว่าเป็นข้อเสียของการจัดฟันในเด็กที่อาจจะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กได้ แต่ก็สามารถแก้ไขได้ หากเด็กปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก ทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง ทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

12
เช็ค รถรับจ้างขนของภาคใต้ แต่ละจังหวัด ที่สามารถวิ่งได้จากสถานการณ์น้ำท่วม

สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในขณะนี้ ถือว่าวิกฤตมาก เนื่องจากมีฝนตกหนักตลอดระยะเวลาหลายวันติดต่อกันทำให้จังหวัดต่างๆในภาคใต้เกิดน้ำท่วมสูง การขนส่งและการคมนาคมก็เกิดปัญหาในบางจังหวัดที่ไม่สามารถเดินรถได้ เนื่องจากน้ำไหลท่วมถนนหรือสะพานโดนตัดขาดจากแรงของน้ำ ทำให้ไม่สามารถที่จะจัดส่งของหรือสินค้าได้ ทีมงาน รถรับจ้างขนของภาคใต้ ในขณะนี้ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะให้บริการลูกค้าให้ทั่วถึงมากที่สุด และยังสามารถบริการลูกค้าได้เป็นบางจังหวัด โดยจะเลือกใช้เส้นทางที่ ไม่เกิดน้ำท่วมหรืออุทกภัย และใช้เส้นทางเลี่ยงในแต่ละจังหวัด

แต่ละเส้น เพราะว่าพนักงานขับรถของเราในแต่ละคนมีความชำนาญในเส้นทางที่ใช้ในการหลบเลี่ยงจากน้ำท่วมได้ สำหรับลูกค้าที่มีความต้องการขนย้ายของจากเขตจังหวัดภาคใต้ตอนล่างขึ้นมากรุงเทพหรือจังหวัดอื่นๆเราก็ยังสามารถเปิดให้บริการท่านได้ตามปกติ แต่ถ้าในบางเขตซึ่งเราต้องขออภัยเพราะบางครั้งเราไม่สามารถที่จะข้ามผ่านไปได้เลยถึงจริงๆ จึงขอแจ้งลูกค้าว่าขณะนี้ ทีมงานรถรับจ้างที่สามารถให้บริการรถรับจ้างลูกค้าได้ ได้แก่ทีมงาน รถรับจ้างจังหวัดสงขลา รถรับจ้างจังหวัดนครศรีธรรมราช ในบางพื้นที่ รถรับจ้างภูเก็ต รถรับจ้างจังหวัดกระบี่ รถรับจ้างจังหวัดสุราษฎร์ธานี รถรับจ้างจังหวัดตรัง และ รถรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในบางเขตอำเภอ สำหรับจังหวัดอื่นๆที่ไม่เอ่ย ก็สามารถให้บริการได้เช่นกันแต่จังหวัดที่หนักที่สุดที่ขณะนี้

ทางเราจะบริการรถรับจ้างได้ไม่เต็มพื้นที่ก็จะมีในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บางอำเภอ นอกจากนั้น ก็ยังสามารถให้บริการท่านได้อยู่ โดยเส้นทางที่เราจะใช้จะเป็นเส้นทางเลี่ยงโดยเป็นส่วนใหญ่ เพื่อป้องกันสินค้าของลูกค้า ไม่ให้เกิดความเสียหาย สำหรับใครที่ต้องการ ขนย้ายของ ย้ายบ้าน ย้ายที่พัก ย้ายเครื่องจักร ย้ายสินค้าการเกษตร ในขณะนี้ก็สามารถเรียกใช้บริการเราได้เช่นกัน ซึ่งเราคาดการณ์ว่าหลังจากนี้ไปประมาณไม่เกิน 7 วันสถานการณ์ต่างๆน่าจะกลับมาสู่สภาวะปกตินั่น แสดงว่าในทุกเขตทุกจังหวัดในภาคใต้ เราจะให้บริการ รับจ้างขนของ ท่านได้เต็ม 100% เช่นเดิม ส่วนที่เราให้บริการในขณะนี้ได้แก่ รถรับจ้างขนของทั่วไป รถกระบะรับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง รถเทรลเลอร์รับจ้าง และ รถรับจ้าง ประเภทอย่างอื่น


ดังนั้น หากท่านมีความต้องการใช้บริการในขณะนี้กรุณาโทรมาสอบถามเราที่ฝ่ายดูแลลูกค้า ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้สอบถามรายละเอียดต่างๆในเขตพื้นที่ๆต้องการให้เราไปขนย้ายให้ ว่าสินค้าเป้นอะไร และทางเราต้องขออภัยหากเขตที่มีน้ำท่วมสูงซึ่งเราไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้ อาจจะต้องรอหลังจากนี้ไปประมาณ 7-10 วันเราถึงจะเปิดให้บริการได้ 100% และเราต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่โทรเข้ามาสอบถามในขณะนี้เป็นจำนวนมาก เราจะพยายามจัดส่งสินค้าและให้บริการ รับจ้างขนของท่านได้มากที่สุด เพราะเราทราบดีว่า งานบริการ คือสิ่งที่เราจะต้องช่วยให้ท่าน สามารถขนย้ายของให้ได้ ช่วยท่านให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องมีความปลอดภัยมากที่สุดด้วย กับสินค้าของท่าน

สำหรับบางพื้นที่ที่มีข่าวว่า น้ำล้นสันเขื่อนหรือเขื่อนแตก แน่นอนว่าจะเป็นข่าวจริงหรือข่าวลวง ทางเราก็จะไม่เสียง ที่จะนำรถและสินค้าของลูกค้าเดินทางไป ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายได้เราจึงต้องใช้เส้นทางอื่นแทน สำหรับท่านไหนที่ต้องการโทรมาสอบถามเรื่อง พื้นที่ที่สามารถขนส่งได้หรือท่านต้องการขนย้ายจากไหนไปไหน


พื้นที่ให้บริการรถรับจ้างขนของภูเก็ต ย้ายบ้าน ของเราในจังหวัดต่างๆ

รถรับจ้างขนของสงขลา

รถรับจ้างขนของชุมพร

รถรับจ้างขนของสุราษฎร์ธานี

รถรับจ้างขนของพังงา

รถรับจ้างขนของนครศรีธรรมราช

รถรับจ้างขนของตรัง

รถรับจ้างขนของพัทลุง

รถรับจ้างขนของกระบี่

รถรับจ้างขนของสตูล

รถรับจ้างขนของภูเก็ต

รถรับจ้างขนของระนอง

รถรับจ้างขนของนราธิวาส

รถรับจ้างขนของปัตตานี

รถรับจ้างขนของยะลา

รถรับจ้างขนของหาดใหญ่

รถรับจ้างขนของเกาะพีพี

รถรับจ้างขนของเกาะพะงัน

รถรับจ้างขนของเกาะสมุย

สุดท้ายนี้ทางเราต้องขอขอบคุณลูกค้า อยากมาก ที่โทรเข้ามาอย่างไม่ขาด เรายินดีให้บริการท่าน และพร้อมที่จะช่วยเหลือการขนย้ายในสภาวะสถานการณ์น้ำท่วมแบบนี้ให้เต็มความสามารถ สำหรับสินค้าลูกค้าที่เป็นวัตถุดิบทางการเกษตรผลไม้ที่ต้องการขนส่งสินค้ามายังกรุงเทพฯ ทางเราก็ยินดีให้บริการท่าน โทรมาสอบถามเราได้เลย เราพร้อมบริการท่านอยู่ ส่วนในเรื่องของราคาค่าบริการ เราไม่ได้คิดในราคาที่เพิ่มจากเดิมเพราะเราเข้าใจว่าสถานการณ์แบบนี้ ควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันดังนั้นราคาที่เราเสนอให้จะเป็นราคาปกติถึงแม้ว่างานนั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการขนย้ายที่มากขึ้น ต้องใช้ระยะทางเส้นเลี่ยงที่ไกลมากขึ้น แต่ รถรับจ้างขนของ เราก็ยังคงให้ราคาที่เท่าเดิม ไม่ซ้ำเติมท่านอย่างแน่นอน โทรมาสอบถามดูนะคะ เราพร้อมบริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง ขอบคุณค่ะ

13
ซ่อมบำรุงอาคาร: โหมดทำงานของแอร์ เลือกใช้งานให้ถูก ประหยัดไฟได้เยอะ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มีความจำเป็นอย่างมากในอากาศที่ร้อนอบอ้าว เชื่อว่า มีแทบทุกบ้าน เพราะมีความจำเป็นสำหรับใครหลายๆคน เนื่องจากอากาศในบ้านเราต้องบอกว่า มีอากาศที่ร้อนแทบจะตลอดทั้งปี ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อใช้ในการคลายร้อน ทำให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่เราก็ต้องแลกกับค่าไฟที่ต้องเพิ่มมากขึ้น แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีหลายบ้านที่มักจะเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน

โดยไม่ได้พักแอร์เลย ก็ทำให้แอร์ต้องทำงานหนัก และสกปรกได้ง่าย เพราะยิ่งเราเปิดแอร์ ก็ยิ่งทำให้แอร์มีการสะสมของฝุ่นเป็นจำนวนมากนั่นเอง ซึ่งการใช้งานแอร์ที่หนักเกินไปนั้น ทำให้เราต้องทำความสะอาดแอร์บ่อยๆ แต่ยิ่งเราเปิดแอร์ตลอดทั้งวัน ค่าไฟก็จะยิ่งพุ่งสูงเป็นธรรมดา เพราะแอร์ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ค่อนข้างเปลืองไฟ แต่ก็มีเทคนิคที่จะช่วยให้เราประหยัดค่าไฟฟ้าไปได้เยอะ เพียงแค่เราใช้งานแอร์อย่างถูกต้อง คือ ใช้โหมดการทำงานของแอร์ที่เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้เราประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำโหมดการทำงานของแอร์ ที่ถ้าหากเราเลือกใช้อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้านของเราได้เยอะ

ก่อนที่เราจะเลือกใช้โหมดแอร์นั้น เราต้องมาทำความรูจักกับโหมดแอร์ทั้ง 4 โหมดก่อนว่าคืออะไรบ้าง โหมดแรกคือ Cool Mode คือ โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยให้แอร์ทำความเย็น ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ในแต่ละห้อง เมื่อแอร์ถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้ แอร์จะตัดการทำงานทันที จึงเหมาะสำหรับใช้งานในช่วงหน้าร้อนที่ต้องการความเย็นตามที่ต้องการ  ต่อมาคือ Auto Mode คือ โหมดการทำงานที่หลายๆ บ้านส่วนใหญ่นิยมใช้ เพราะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และเป็นโหมดการทำงานแบบอัตโนมัติ

ซึ่งการทำงานของระบบนี้คือ การวัดค่าอุณหภูมิของแอร์ เพื่อปรับความเย็นด้วยระบบเซ็นเซอร์จากตัวแอร์ หลังจากเปิดแอร์หากอากาศภายในห้องร้อน แอร์จะปรับอัตโนมัติไปที่ โหมดการทำงานแบบ Cool Mode และหลังจากอุณหภูมิเย็นลงตามที่กำหนดไว้ จะถูกปรับเปลี่ยนไปยังโหมดการทำงานประเภท Dry Mode เพื่อป้องกันความชื้นภายในห้อง ซึ่งเหมาะสำหรับบ้านที่ชอบความสะดวกสบาย และห้องที่มีการใช้งานบ่อย ๆ และโหมดต่อมา คือ Dry Mode โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยควบคุมความชื้นในอากาศ จึงเหมาะกับห้องที่มีความชื้นในปริมาณที่มาก ซึ่งลมเย็นที่ออกมาอาจจะไม่เย็นฉ่ำเท่ากับ Cool Mode และบางช่วงอาจจะรู้สึกอึดอัด เพราะ แอร์ไม่สามารถกระจายความเย็นให้ทั่วถึงทั้งห้องได้

และสุดท้ายคือ Fan Mode คือ โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยระบายความชื้น และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ของแอร์ให้หมดไป ซึ่งหากใครเผลอไปกดเปลี่ยนเป็นโหมดการทำงานนี้ก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลมร้อนออกมาได้ เพราะ ลมที่ออกมาจะเป็นลมในอุณหภูมิห้อง ไม่มีความเย็นใด ๆ ซึ่งโหมดที่หลายคนเลือกใช้ส่วนใหญ่จะเป็นโหมด Cool และ โหมด Auto เพราะใช้งานง่ายโดยที่เราไม่ต้องปรับอะไรเลย ส่วนอีก 2 โหมด โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยควบคุมความชื้น อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากให้ห้องมีอากาศเย็นมากขึ้น ไม่ควรปรับเครื่องปรับอากาศไปที่อุณหภูมิที่ต่ำมากๆ ควรปรับไว้ที่อุณหภูมิปกติ แต่เร่งความแรงของพัดลมจากเครื่องปรับอากาศให้แรงมากขึ้นแทน นอกจากนี้ ถ้าต้องการให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ควรเปิดพัดลมไปพร้อมกับการเปิดแอร์ด้วย โดยทำการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 25-27 องศา และเปิดพัดลมช่วย นอกจากทำให้ห้องเย็นเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์ สามารถขอรายละเอียดได้จากทาง SN Serviceทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย เพราะฉะนั้น ให้เราได้ดูแลในเรื่องของระบบปรับอากาศของคุณให้มีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

14
หมอประจำบ้าน: ท่อน้ำดีอักเสบ (Ascending cholangitis)

ท่อน้ำดี (bile ducts) เป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างตับ ถุงน้ำดี และลำไส้เล็กส่วนต้น

การอักเสบของท่อน้ำดีมักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากภาวะอุดกั้นของก้อนนิ่ว หรือก้อนเนื้องอก โรคนี้ถือเป็นภาวะร้ายแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เป็นโลหิตเป็นพิษเสียชีวิตได้


สาเหตุ

การอักเสบของท่อน้ำดีมักมีสาเหตุมาจากการอุดกั้นของท่อน้ำดี ซึ่งส่วนมากเนื่องมาจากมีก้อนนิ่วอุดกั้น ส่วนน้อยอาจมีการอุดกั้นเนื่องจากก้อนเนื้องอกหรือมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ ทำให้มีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบของท่อน้ำดี ซึ่งมักจะลุกลามขึ้นไปถึงท่อน้ำดีเล็ก ๆ ที่อยู่ในตับ ซึ่งเรียกว่า ท่อตับ (hepatic ducts)


อาการ

มีไข้สูง หนาวสั่นคล้ายมาลาเรีย ตาเหลือง ตัวเหลือง ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงข้างขวาอาการปวดท้องอาจมีลักษณะปวดรุนแรงเป็นพัก ๆ คล้ายนิ่วน้ำดี


ภาวะแทรกซ้อน

ฝีตับจากแบคทีเรีย

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีภาวะช็อก โลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ การหายใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจล้มเหลวได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและตรวจพบ ไข้ ตาเหลือง กดเจ็บตรงบริเวณชายโครงขวา และอาจตรวจพบตับโต

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เพาะเชื้อจากเลือด อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ยาลดไข้ ให้น้ำเกลือ เป็นต้น) ให้ยาปฏิชีวนะ และทำการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น เสียดแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ หรือปวดตรงชายโครงขวา ควรไปพบ แพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำดีอักเสบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

โดยการขจัดปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี เช่น เมื่อพบก้อนนิ่ว หรือก้อนเนื้องอก ควรทำการผ่าตัดออก


ข้อแนะนำ

โรคท่อน้ำดีอักเสบจัดว่าเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง มีอัตราตายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยสูงอายุ หรือเป็นตับแข็ง ผู้ที่มีอาการไข้สูง หนาวสั่น และปวดท้องรุนแรง ซึ่งชวนสงสัยว่าเป็นโรคนี้ ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

15
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: อัปเดต ‘สายพันธุ์โควิด-19’ ในไทย พร้อมเช็คอาการเบื้องต้น

นับเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในขณะเดียวกันก็มีการพบการกลายพันธุ์ไปตามสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ สำหรับประเทศไทยเองก็มีการรับเชื้อโควิดกลายพันธุ์เข้ามาจากที่ต่าง ๆ และมีการแพร่ระบาดอยู่หลากหลายสายพันธุ์ในขณะนี้ ศูนย์การตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ เมดิคอลไลน์ แล็บ จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับสายพันธุ์โควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทย พร้อมอาการเบื้องต้นของแต่ละสายพันธุ์

สายพันธุ์ S (Serine)

โควิดสายพันธุ์ S (Serine) หรือ สายพันธุ์อู่ฮั่น เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยระบาดระลอกแรกในไทยเดือนมีนาคม 2563 จากคลัสเตอร์สนามมวยที่ลุมพินี ราชดำเนิน และอ้อมน้อย
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์ S

    มีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
    ไอแห้ง ไอต่อเนื่อง
    หอบเหนื่อย
    หายใจลำบาก
    อ่อนเพลีย
    การรับรสหรือได้กลิ่นผิดปกติ

สายพันธุ์อัลฟ่า (Alpha)

โควิดสายพันธุ์อัลฟ่า หรือ สายพันธุ์อังกฤษ พบครั้งแรกที่เมืองเคนต์ในประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2563 ก่อนจะเข้ามาระบาดในประเทศไทยเมื่อต้นเดือนมกราคม 2564 และแพร่ระบาดอย่างหนักจากคลัสเตอร์ทองหล่อ ปัจจุบันเป็นสายพันธ์ุหลักที่ระบาดไปแล้วกว่า 138 ประเทศทั่วโลก เนื่องจากสายพันธุ์นี้แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นมากถึง 40-70% และยังเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดี ทำให้มีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตสูงขึ้นถึง 30%
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์อัลฟ่า

    มักมีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
    ไอ เจ็บคอ
    มีน้ำมูก
    ปวดศีรษะ
    ปวดเมื่อยร่างกาย
    หนาวสั่น
    หายใจหอบเหนื่อย
    อาเจียนหรือท้องเสีย
    การรับรสหรือได้กลิ่นผิดปกติ

สายพันธุ์เบต้า (Beta)

โควิดสายพันธุ์เบต้า หรือ สายพันธุ์แอฟริกา พบครั้งแรกในอ่าวเนลสันแมนเดลา เมืองอีสเทิร์นเคปของแอฟริกาใต้เมื่อเดือนตุลาคม 2563 พบครั้งแรกในไทยที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 สำหรับสายพันธุ์เบต้าพบว่ามีอัตราการแพร่เชื้อไวขึ้น 50% จากสายพันธุ์เดิม อีกทั้งมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งสำคัญ จึงทำให้เชื้อไวรัสมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ดังนั้น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหรือเคยติดเชื้อแล้วก็จะยังสามารถติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์นี้ซ้ำได้อีก
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์เบต้า

    เจ็บคอ
    ปวดศีรษะ
    ปวดเมื่อยร่างกาย
    ท้องเสีย
    ตาแดง
    การรับรสหรือได้กลิ่นผิดปกติ
    มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
    นิ้วมือหรือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี

 สายพันธุ์เดลต้า (Delta)

โควิดสายพันธุ์เดลต้า หรือ สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่พบในประเทศอินเดีย ก่อนจะมีการกระจายไปในหลายประเทศทั่วโลก โดยสายพันธุ์นี้สามารถจับเซลล์ของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น ติดง่ายขึ้น แพร่กระจายเชื้อได้รวดเร็วกว่า จึงระบาดเร็ว โดยในประเทศไทยพบครั้งแรกที่คลัสเตอร์แคมป์คนงานหลักสี่ และเป็นสายพันธ์ุหลักที่กำลังแพร่ระบาดรุนแรงในบ้านเราอยู่ขณะนี้ นอกจากนี้ ยังพบว่าโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าสามารถกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลต้า พลัส ซึ่งทำให้ผู้ที่สัมผัสเชื้อติดเชื้อง่ายกว่าเดิม ทั้งยังหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ดี
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์เดลต้า

    มีอาการทั่วไปคล้ายหวัดธรรมดา
    ปวดศีรษะ
    มีน้ำมูก
    เจ็บคอ
    การรับรสชาติปกติ

ตราบใดที่โควิด-19 ยังคงไม่หมดไปจากบ้านเรา การดูแลและป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัดก็ยังมีความจำเป็น ทั้งการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างทางสังคม หลีกเลี่ยงการสัมผัสพื้นที่สาธารณะหากไม่จำเป็น เหนือสิ่งอื่นใด ควรหมั่นรักษาสุขภาพ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และหากพบว่าตนเองมีอาการเข้าข่าย เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ และหายใจเหนื่อยหรือหายใจลำบาก และมีประวัติสัมผัสหรือใกล้ชิดบุคคลที่มาจากพื้นที่ที่มีการระบาดหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ควรรีบไปตรวจโควิดทันทีเพื่อจะได้ทราบผลและหาทางรักษาได้อย่างทันท่วงที

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron)

โอไมครอน หรือ โอมิครอน คือ โควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ล่าสุดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นสายพันธุ์ระดับที่น่ากังวล (Variants of Concern: VOC) ถูกค้นพบครั้งแรกในแถบแอฟริกาใต้ในช่วงสิ้นปี 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีกระจายไปหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่มีอัตราการระบาดค่อนข้างรวดเร็วหลังพบผู้ติดเชื้อชาวอเมริกันที่บินจากสเปน แวะดูไบ ก่อนเข้าไทยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 โดยสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ส่วนโปรตีนหนามมากถึง 32 ตำแหน่ง ทำให้สามารถหลบหลีกภูมิต้านทานได้มากขึ้น เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ส่งผลต่อการลดประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ปัจจุบันอย่างมาก และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการกลับมาติดเชื้อซ้ำเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยมักติดเชื้อในลักษณะที่เป็นระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ลงปอด จึงทำให้มีอาการป่วยไม่รุนแรงมาก
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน

    จมูกยังสามารถได้กลิ่น
    ลิ้นรับรสได้ดี
    ไม่ค่อยมีไข้
    ไอมาก
    มีอาการเจ็บคอ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปอดอักเสบ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.2

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน BA.2 จัดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์โควิดใหม่ล่าสุดที่มาเร็วและมาแรงที่สุด แต่มีอาการแสดงน้อยคล้ายอาการของคนเป็นหวัด หรือแทบจะไม่มีอาการเลยในบางราย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘สายพันธุ์ล่องหน’ (Stealth Variant) ที่สำคัญคือโอมิครอน BA.2 นั้นมีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้า ซึ่งหมายความว่าแม้ผู้ป่วยจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้วกี่เข็มก็ตาม แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อโอมิครอน BA.2 ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – B.2

    เจ็บคอ
    ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเล็กน้อย
    เหนื่อย อ่อนเพลีย
    ไอแห้งและต่อเนื่อง
    มีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.2.75

สำหรับโอไมครอน หรือ โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 มีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้น 9 ตำแหน่งจาก สายพันธุ์ย่อย BA.2 ในจำนวนนี้มี 2 ตำแหน่งสำคัญที่อาจทำให้เกิดการหลบภูมิคุ้มกัน ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้ไวรัสจับกับเซลล์ปอดและรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ พบครั้งแรกในต่างประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 แต่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอินเดียในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา และได้กระจายไปหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี สำหรับในประเทศไทย มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 รายแรกที่ จ.ตรัง โดยองค์การอนามัยโลกได้จัดสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 ให้อยู่ในกลุ่มสายพันธ์ที่น่ากังวลที่ต้องจับตาดู (VOC-LUM)

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BA.2.75

    เจ็บคอ คอแห้ง คันคอ
    มีไข้ต่ำ
    น้ำมูกไหล
    จาม
    อ่อนเพลีย
    ปวดศีรษะ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.4/BA.5

โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 เป็นเชื้อกลายพันธุ์ของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอนที่พบการแพร่ระบาดไปก่อนหน้านี้ โดยมีการพบผู้ติดเชื้อรายแรกในแถบแอฟริกาเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2565 ในปัจจุบันพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกจนองค์กรอนามัยโลกได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4/BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง (VOC) และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลต้า (Delta) กล่าวคือเชื้อไวรัสมีความสามารถในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ แตกต่างจากสายพันธุ์ BA.1/ BA.2 ที่เชื้อมีความสามารถในการแบ่งตัวได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน โดย BA.5 จัดเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้เร็วที่สุด โดยแพร่ได้เร็วกว่าไวรัสอู่ฮั่น 5 เท่า และแพร่ได้เร็วกว่าเดลต้า 3.6 เท่า

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BA.4/BA.5

    อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
    ไอแห้ง เจ็บคอ มีน้ำมูก
    มีไข้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้
    ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย
    ถ่ายเหลว

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.4.6

BA.4.6 เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยของโควิดโอไมครอน หรือ โอมิครอน ถือว่าเป็นแขนงย่อยของ BA.4 อีกทีหนึ่ง ซึ่งสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนี้มีคุณสมบัติด้านการกลายพันธุ์แบบเดียวกับสายพันธุ์ย่อย BA.4 ซึ่งการกลายพันธุ์ที่โดดเด่นดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ตำแหน่งโปรตีนหนามที่เรียกกันว่า R346T พบการระบาดอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา โดยแฉพาะในแถบ 4 มลรัฐ คือ ไอโอวา (Iowa) แคนซัส (Kansas) มิสซูรี (Missouri) และเนบราสกา (Nebraska) และอีก 43 ประเทศทั่วโลก โดยมีอัตราการเติบโตแพร่ระบาด (Relative Growth Advantage) สูงกว่า BA.4/BA.5 และ BA.2.75 ทำให้ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา ( U.S. CDC) ปรับให้โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย  BA.4.6 เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variant of Concern) เนื่องจากมีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่นประมาณ 83 ตำแหน่ง ในขณะที่ BA.2.75 กลายพันธุ์ไป 95 ตำแหน่ง, BA.5 กลายพันธุ์ไป 90 ตำแหน่ง, และ  BA.4 กลายพันธุ์ไป 78 ตำแหน่งต่างจากไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่น ซึ่งตำแหน่งกลายพันธุ์คล้ายเดลต้า และเบต้าบางส่วน ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่พบผู้ป่วยสายพันธุ์นี้ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดกันต่อไปว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ BA.4.6 จะมีความสามารถในการแพร่กระจาย ก่อโรครุนแรง ลดภูมิต้านทาน และดื้อต่อวัคซีนมากน้อยเพียงใด หากมีการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมมาก ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนเจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่างแน่นอน

ปัจจุบันพบผู้ป่วยในไทยแล้ว 3 ราย ส่วนจำนวนผู้ป่วยรวมทั่วโลกมีราว 42,000 คน

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BA.4.6

    เจ็บคอ
    ปวดศีรษะ
    คัดจมูก
    ไอ (ไม่มีเสมหะ)
    น้ำมูกไหล

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BQ.1

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน BQ.1 เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ BA.5 ที่องค์การอนามัยโลกระบุเป็นสายพันธุ์ที่เฝ้าจับตามอง และมีการระบาดในอเมริกาและยุโรป สำหรับประเทศไทยเพิ่งพบผู้ป่วยรายแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยผู้ป่วยรายดังกล่าวเป็นชายชาวต่างชาติ อายุ 40 ปีที่เดินทางมาจากประเทศจีน ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ต่อมาทางโรงพยาบาลส่งตัวอย่างมาตรวจทางห้องปฏิบัติการและสุ่มตรวจสายพันธุ์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และได้ทำการถอดรหัสพันธุกรรมตัวอย่างดังกล่าว จากนั้นส่งเข้าฐานข้อมูล GISAID ตั้งแต่ 21 กันยายน 2565 ซึ่งในขณะนั้นยังถูกจัดเป็นสายพันธุ์ BE.1.1 เป็นลูกหลานของสายพันธุ์ BA.5.3 ต่อมาเมื่อมีข้อมูลมากขึ้นได้ถูกปรับเป็นสายพันธุ์ BQ.1 ที่มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามที่สำคัญ คือ K444T, L452R, N460K, และ F486V ทำให้สายพันธุ์ย่อยนี้สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณความรุนแรง แต่อาจทำให้มีการแพร่และติดเชื้อง่ายขึ้น อีกทั้งดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูปตัวสำคัญที่ใช้เพื่อรักษาโรค COVID-19 เช่น เอวูเชลด์ (Evusheld) และ เบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab) ซึ่งทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ไทยก็ชี้แจงไว้ว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยนี้มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนและแพร่ติดต่อได้เร็วกว่า โดยระบุไว้ด้วยว่าสายพันธุ์ย่อยใหม่น่าจะเข้ามาแทนที่ BA.5 ได้ภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปี 2566

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BQ.1

    อ่อนเพลีย มีไข้
    ไอ คัดจมูก เจ็บคอ
    คลื่นไส้ ท้องเสีย
    ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดศีรษะ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – XBB

ส่วนโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB เป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์ BJ.1 และ BM.1.1.1 โดยมีบรรพบุรุษร่วมกันคือ BA.2 และมีการระบาดกระจายไป 70 ประเทศทั่วโลก โดยพบมากในอินเดีย โดมินิกัน สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังในประเทศไทยพบสายพันธุ์ XBB จำนวน 13 ราย รายแรกเป็นหญิงต่างชาติอายุ 60 ปี เดินทางมาจากฮ่องกง และมาตรวจในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนรายที่ 2 เป็นชาวไทยอายุ 49 ปี เดินทางมาจากสิงคโปร์ ไปโรงพยาบาลเดียวกัน มีอาการไอ คัดจมูก สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือเชื้อไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกัน ทั้งจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อธรรมชาติได้ดีกว่าสายพันธุ์เดิม ดังนั้น จึงสามารถติดกันได้ง่ายกว่าเดิม แต่รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – XBB

    ไอ เจ็บคอ
    มีไข้
    คัดจมูก หรือมีน้ำมูก
    อ่อนเพลีย รู้สึกหนาวสั่น
    คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย

 สายพันธุ์เดลตาครอน

โควิด19สายพันธุ์ “เดลต้าครอน XBC” คือ ลูกผสมระหว่างเดลต้าและโอมิครอน BA.2 พบระบาดในฟิลิปปินส์ จากการถอดรหัสพันธุ์กรรมทั้งจีโนมพบว่ามีศักยภาพในการโจมตีปอดคล้ายกับเดลตา และอาจแพร่ระบาดได้รวดเร็วเหมือนโอมิครอน เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากโควิด19 สายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างอู่ฮั่นมากที่สุดถึงกว่า 130 ตำแหน่ง พบระบาดแล้วในหลายประเทศในอาเซียน สำหรับผู้ป่วยรายแรกในไทยเป็นหญิงไทย อายุ 47 ปี ที่ได้รับวัคซีนแล้วรวม 3 เข็ม ทั้งนี้ยังไม่พบสัญญาณความรุนแรงของเชื้อที่กลายพันธุ์ แต่อาจจะทำให้มีการแพร่และติดเชื้อง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามสามารถทำให้ติดเชื้อซ้ำได้แม้ในผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์เดลต้าครอน

    น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ
    อ่อนเพลีย
    สูญเสียการรับรสและกลิ่น

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – CH.1.1

สำหรับโควิด CH.1.1 ตัวใหม่ที่พบกลายพันธุ์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ย่อยของ BA.2.75 (BA.2.75 + R346T, K444T, L452R และ F486S) มีความสามารถสูงในการหลบภูมิคุ้มกันได้พอสมควร แต่การระบาด การแพร่กระจายไม่รวดเร็ว พบรายงานครั้งแรกในประเทศอินเดียเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 และแพร่กระจายไปทั่วโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดยพบมากที่สุดในสหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และสิงคโปร์ โดยสายพันธุ์ CH.1.1 มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามที่สำคัญ คือ K444T, L452R, N460K และ F486V ซึ่งทำให้หลบภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและจากการฉีดวัคซีนได้ดี มีคุณสมบัติดื้อต่อแอนติบอดีสังเคราะห์อย่างเอวูเชลด์ (Evusheld) และ เบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab) สำหรับประเทศไทย พบรายงานครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 และมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 200-300 ราย

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – CH.1.1

    เจ็บคอ คอแห้ง คันคอ
    มีไข้ต่ำ
    น้ำมูกไหล
    จาม
    อ่อนเพลีย
    ปวดศีรษะ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – XBB.1.5

โควิด-19 สายพันธุ์ XBB.1.5 คือ โควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะระบาดในปี 2566 โดยต้นตระกูลของ XBB.1.5 คือ โอมิครอน BA.2 โดยเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างโอมิครอน 2 สายพันธุ์ คือ BJ.1 และ BM.1.1.1 โดยโควิดสายพันธุ์ XBB.1.5 นี้มีอัตราการแพร่ระบาดรวดเร็วมาก และเป็นสายพันธุ์ที่หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดสายพันธุ์หนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถจับยึดกับผิวเซลล์บริเวณโปรตีน ACE-2 ของผู้ติดเชื้อได้แน่นที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง ทำให้เป็นสายพันธุ์ที่แทรกรุกรานเข้าสู่เซลล์และแพร่ระบาดได้ดี รวมถึงสามารถหลบเลี่ยงต่อภูมิคุ้มกันแบบผสมทั้งจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติได้ดีกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างอู่ฮั่นมากถึง 104 เท่า ทำให้ติดซ้ำได้ง่ายขึ้น โดยพบว่าเริ่มระบาดในไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา และจากถอดรหัสพันธุกรรมเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก (GISAID) ผ่าน Outbreak.info ร่วมกับองค์การอนามัยโลกพบว่า XBB.1.5 สายพันธุ์หลักในประเทศไทยที่ต้องเฝ้าระวัง

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – XBB.1.5

    ไอ เจ็บคอ
    มีไข้
    คัดจมูก หรือมีน้ำมูก
    อ่อนเพลีย รู้สึกหนาวสั่น
    คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – XBB.1.16

สำหรับโควิดสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ โควิดสายพันธุ์ XBB.1.16 หรือ “โควิดอาร์คทูรัส” (Arcturus) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างโอมิครอน 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ BA.2.10.1 กับ BA.2.75 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในการสังเกตการณ์ขององค์การอนามัยโลก จุดเด่นของสายพันธุ์นี้ คือ แพร่ได้รวดเร็วและหลบรอดภูมิคุ้มกันได้ดีมากทั้งการติดเชื้อตามธรรมชาติและจากการฉีดวัคซีน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงโปรตีนหนามบนผิวมากกว่าเดิม สามารถแพร่เชื้อเร็วขึ้นกว่าสายพันธุ์โอมิครอนเดิมถึง 2 เท่า แพร่กระจายได้เร็วกว่า XBB.1.5 ประมาณ 1.2 เท่า  แต่ยังไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องความรุนแรงของอาการจากเดิม  มีรายงานการค้นพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดียเมื่อเดือนมกราคม 2566 ส่วนในไทยพบผู้ป่วยสายพันธุ์นี้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมถึงมีผู้เสียชีวิตแล้วบางส่วน และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในไทยเช่นเดียวกับทั่วโลกในอีกไม่นานนี้

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – XBB.1.16

    มีไข้สูง
    คัดจมูก ไอ
    ผื่นคัน
    ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย
    จมูกไม่ได้กลิ่น อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
    เยื่อบุตาอักเสบ คล้ายตาแดง คันตา ขี้ตาเหนียว ลืมเปลือกตาไม่ขึ้น


หน้า: [1] 2 3 ... 55